ผักกาดหอม
ก่อนสงกรานต์เสียวสันหลังกันทั้งประเทศ
เพราะกระทรวงสาธารณสุขคาดการณ์ว่า ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ อาจจะพุ่งพรวดขึ้นไปถึง ๑ แสนรายต่อวัน
ผู้เสียชีวิตจะพุ่งขึ้นไปสูงสุดประมาณ ๒๕๐ คนต่อวัน
ตัวเลขที่ว่าจะพีกช่วงต้นเดือนพฤษภาคม
รัฐบาล และ ศบค. สั่งเตรียมรับมือขั้นสูงสุด
นี่ก็จะสิ้นเดือนแล้ว แต่ตัวเลขผู้ติดเชื้อไปไม่ถึงแสนคน
กลับค่อยๆ ลดลง เหลือหมื่นกลางๆ
ส่วนผู้เสียชีวิต คงที่ประมาณกว่า ๑๒๐ ราย
ถือเป็นการคาดการณ์ที่ผิดพลาดในเชิงบวก
มีแนวโน้ม การระบาดโควิด-๑๙ ในประเทศไทย อยู่ในช่วงขาลงอีกครั้ง
ที่ต้องบอกว่าเป็นขาลงอีกครั้งหนึ่ง ก็เพราะยังไม่มีประเทศไหนในโลกสามารถเอาชนะ โควิด ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แม้ประเทศเดียว
และทุกประเทศมีความเสี่ยงโควิดระบาดระลอกใหม่ด้วยกันทั้งสิ้น
วันนี้คนไทยเสียชีวิตเพราะโควิดเป็นอันดับ ๒ ของโลก ให้ข้อมูลแบบนี้น่าตกใจ
มีแพทย์บางรายพยายามบอกว่า ไทยล้มเหลว ไม่สามารถควบคุมการเสียชีวิตของประชาชนให้อยู่ในระดับต่ำใต้
ก็จริงครับ หลายวันมานี้ คนไทยเสียชีวิตเพราะโควิดเยอะจริง และหากดูตามสถิติ เป็นลำดับต้นๆ ของโลกทีเดียว
แต่สถานการณ์โควิดของโลกแต่ละช่วงเวลานั้น ไม่อาจนำมาเปรียบเทียบแล้วสรุปว่า ประเทศนี้ดีกว่าประเทศนั้น
ยกตัวอย่างกรณีการเสียชีวิต ขณะนี้คนไทยเสียชีวิตเป็นลำดับต้นๆ ของโลกจริง อยู่ที่กว่า ๑๒๐ คนต่อวัน
ขณะที่ช่วงต้นปี หรือปลายปีที่แล้ว หลายประเทศระบาดระลอก ๔ ระลอก ๕ ที่หนักๆ ในยุโรป อเมริกา ตายเป็นพันคนต่อวัน
หรือใกล้ๆ บ้านเราอย่างเวียดนาม ก่อนนี้ติดเชื้อเป็นแสนต่อวัน ตาย ๓-๔ ร้อยคนต่อวัน แต่ขณะนี้เบาไปแล้ว เพราะการระบาดจบรอบวงของมัน
การเสียชีวิตของประชาชนเป็นเรื่องน่าเศร้าใจ และไม่ควรเกิดขึ้นจริง แต่ไม่ควรนำมาสรุปว่าไทยเลวร้ายกว่าประเทศอื่น
โดยเฉพาะฝ่ายการเมือง ที่พยายามนำการระบาดของโควิด-๑๙ มาอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลอีกครั้ง ต้องตระหนักว่า ในโลกนี้ยังไม่มีประเทศไหนเอาชนะโควิดได้
ทุกประเทศล้วนยังมีความเสี่ยงต่อการระบาดระลอกใหม่ด้วยกันทั้งสิ้น
ถ้าบอกว่าล้มเหลว ก็คงล้มเหลวกันทั้งโลก
แต่ก็เริ่มมีข่าวโจมตีว่า ศบค.ปกปิดตัวเลขผู้ติดเชื้อให้ดูลดลง เป็นการแหกตาประชาชน
ที่จริงตรวจสอบได้ไม่ยากครับ ไปดูยอดผู้ป่วยในโรงพยาบาลสนาม ถ้าต่ำลง หรือแพทย์ พยาบาล งานน้อยลง รถฉุกเฉินวิ่งบนถนนน้อยลง ก็แสดงว่าคนติดเชื้อน้อยลง
มันเป็นวิทยาศาสตร์ สามารถพิสูจน์ได้
ครับ…เรื่องการบ้านการเมือง ยังคงคึกคักและครึกครื้นกันเหมือนเดิม
ข่าว “แรมโบ้อีสาน-เสกสกล อัตถาวงศ์” ลาออกจากการเป็นสมาชิก พรรครวมไทยสร้างชาติ ดูผิวเผินเหมือนไม่มีอะไร
“…เพื่อให้ภาพพจน์และการขับเคลื่อนของพรรครวมไทยสร้างชาติเป็นไปในทางที่ดีในสายตาพี่น้องประชาชน
ไม่ให้เกิดความด่างพร้อยเสียหายต่อทางพรรค และความลำบากใจต่อคณะกรรมการบริหารพรรครวมไทยสร้างชาติ
และผมต้องการให้พรรคเป็นที่ยึดโยงและเป็นสถาบันหลักสำคัญ…”
นั่นคือเหตุผลในการลาออกของ “แรมโบ้”
หากพูดถึงนักการเมืองลาออกจากตำแหน่งต่างๆ เพื่อแสดงความรับผิดชอบทางการเมือง ไม่ใช่เรื่องที่พบเห็นได้บ่อยในการเมืองไทย
จะบอกว่า “แรมโบ้” ลาออก เพราะตัดตอน ไม่ให้เสียหายไปถึง พรรครวมไทยสร้างชาติ หรือแม้กระทั่ง “ลุงตู่” ก็มองเช่นนั้นได้
แต่มันก็คือการแสดงความรับผิดชอบทางการเมืองอยู่ดี
ส่วนคดีความเรื่องเงินหวย หากต้องขึ้นโรงขึ้นศาล ก็ว่าไปตามกระบวนการยุติธรรม หากผิดจริงก็ต้องรับผิดชอบตามกฎหมาย
ลองมองย้อนกลับไปซิครับ เคยมีนักการเมืองลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบทางการเมืองกี่คน
ส่วนใหญ่อยู่ต่อจนจนมุม
หลายคนศาลพิพากษาความผิดแล้ว ไม่เคยรับผิดชอบอะไร แถมยังป่วนไม่เลิก
“แรมโบ้” ไม่ใช่นักการเมืองดีเด่น
แถมประวัติไม่โสภาสักเท่าไหร่
แต่ก็ยอมตัดตัวเองออกจากวงจร ไม่ต้องให้ฝ่ายตรงข้ามค่อนแคะในภายหลังว่า ใช้อำนาจทางการเมืองบิดเบือนคดี
เหตุผลง่ายๆ แบบนี้นักการเมืองส่วนใหญ่กลับทำไม่ได้
อีกเรื่องที่ไม่พูดถึงไม่ได้ คือการเมืองนอกสภาที่ทำท่าจะคุยกันรู้เรื่องมากขึ้น
วานนี้ (๒๘ เมษายน) ในวงการแกนนำมวลชน เรียกได้ว่า เสือ พบ สิงห์ “นิติธร ล้ำเหลือ” จับมือ “จตุพร พรหมพันธุ์” ภายใต้ชื่อกลุ่ม “สมานฉันท์เพื่อแผ่นดินไทย”
ประกาศภารกิจ สานสามัคคีทุกฝ่ายเพื่อรับมือภัยของชาติ
และร่วมกันต้านภยันตรายจากต่างประเทศ
“จตุพร” มองว่าการอยู่หรือไปของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ เป็นแค่เรื่องเล็กๆ เมื่อเทียบกับความมั่นคงและเอกราชของประเทศ ที่อยู่ภายใต้สนธิสัญญาอินโด-แปซิฟิก ดังนั้นไม่ว่า พลเอกประวิตร หรือ พลเอกประยุทธ์ จะเป็นนายกฯ ก็ไม่มีทางรักษาชาติไว้ได้
ถือเป็นมิติใหม่ของแกนนำมวลชนในไทย ที่ข้ามไปเล่นประเด็นอินเตอร์ แทนการแบ่งขั้วชิงอำนาจกันเองในประเทศ
แต่ประเด็นสนธิสัญญาอินโด-แปซิฟิก ก็ยังเป็นปัญหาอยู่ ว่า มันเป็นปัญหาของไทยจริงๆ หรือไม่
เอกสารข้อเท็จจริง ยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกของสหรัฐอเมริกา ที่เปิดเผยโดยสถานเอกราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย ในยุทธศาสตร์ความมั่นคงนั้น ระบุว่า
“การสนับสนุนสันติภาพ ความมั่นคง เสถียรภาพ และความมั่งคั่งในภูมิภาค เรากำลังขยายและปรับปรุงบทบาทนั้นให้ทันสมัย รวมทั้งเพิ่มความสามารถในการปกป้องผลประโยชน์ของเรา และเพื่อยับยั้งการรุกรานดินแดนของสหรัฐ ตลอดจนพันธมิตรและหุ้นส่วนของเรา เราจะเสริมสร้างความมั่นคงของภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก โดยใช้อำนาจทุกรูปแบบที่มี เพื่อยับยั้งการรุกรานและเพื่อตอบโต้การบีบบังคับด้วยวิธีการต่างๆ เช่น”
พุ่งเป้าไปที่จีนเป็นการเฉพาะ
แต่ยุทธศาสตร์ที่ว่านี้สหรัฐจัดทำขึ้นเองฝ่ายเดียว เพื่อเป็นแนวทางของการดำเนินนโยบายของสหรัฐกับแต่ละภูมิภาค และมีการปรับทุกปี
ประเทศไทยและรัฐบาลไทย ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเอกสารฉบับนี้
ไม่มีหน่วยงานใดของไทยลงนามรับรองหรือรับรู้เอกสารฉบับนี้
ไม่มีใครไปตกลงว่าจะร่วมมือกับสหรัฐ
ไหนๆ ก็ตั้งกลุ่ม “สมานฉันท์เพื่อแผ่นดินไทย” ขึ้นแล้ว ถ้านับหนึ่งให้ถูกต้อง น่าจะได้แนวร่วมไม่น้อยทีเดียว
เหลือง แดง จับมือกัน มันเท่ไม่หยอก
แต่หากผิดตั้งแต่ก้าวแรก ตั้งมาอีก ๑๐ กลุ่ม ก็ไร้ความหมาย