เปลว สีเงิน
จำเรื่อง “พระแครอท” กันได้มั้ย?
ไม่ได้หมายถึง “ไพรวัลย์” ที่บรรลุเป็น “เสี่ยไพรวัลย์” ขึ้นสวรรค์ชั้นโลกีย์ เสวยสุขบรมกามไปเรียบร้อยแล้วคนนั้นหรอก
แต่ผมหมายถึงแครอท “ปัญญา สีสัน”
บุรุษโล้นผู้เอาผ้าเหลืองพันกาย หนึ่งในขบวนการสามนิ้วล้มเจ้า ที่เรียกตัวเองเป็น “พระสงฆ์” ต้องคดีอาญาแล้วหนีออกนอกประเทศ ไปขอลี้ภัยอยู่เยอรมนีตอนนี้ คนนั้น
เมื่อวาน มีคนนำโพสต์ล่าสุดของเขามาลงเฟซ….
ก่อนคุยอะไรกัน ผมอยากให้อ่านที่ “แครอทปัญญา” เขาโพสต์ก่อน
Phra Panya Seesun
สุขภัณฑ์นั่งยองแบบใช้ฟลัชวาล์วชนิดไร้คอห่าน ปุ่มฟลัชเรียบหรูน่าใช้ ขอบกระเบื้องเป็นสเตนเลสอย่างหนา หากมองอย่างถี่ถ้วนก็จะเห็นว่า ในห้องน้ำนี้ไม่มี แปรงล้างทำความสะอาดสุขภัณฑ์ ไม่มี ช่องใส่กระดาษชำระ ไม่มี ถังน้ำ/สายฉีดชำระ ไม่มี ถังขยะ (เศษบุหรี่ที่พื้น)
ที่ค่ายจัดคนทำความสะอาดวันละ 2 รอบ แต่ละรอบห่างกัน 12 ชม.แม้โดยส่วนมาก ทุกคนจะขับถ่ายทุกวัน แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนจะขับถ่ายลงท่อได้อย่างแม่นยำ
บางคนก็รีบจัด ลืมกดฟลัช และบางครั้งของขับถ่ายซึ่งมีน้ำมาก เมื่อถูกแรงขับจากกำลังภายในก็แตกกระจาย กระสานซ่านเซ็นติดเกรอะกรังตามฝาผนัง
ทำให้สะท้อนถึงชะตากรรมที่ยากลำบากในต่างแดน
ทำไมอาตมารู้ละเอียด
ก็อาตมาคือคนที่ค่ายมอบหมายให้ทำความสะอาดห้องน้ำไงล่ะ (2 รอบ/วัน, 7 วัน/สัปดาห์)
อุปกรณ์ทำความสะอาดนั้น ทางค่ายจัดให้ตามมีตามเกิด ดีที่อาตมาไปหาซื้อถุงมือล้างจานมาได้ หนาแล้วก็ยาวครึ่งศอก
ส่วนหน้ากากและเอี๊ยม PVC กันสารเคมี ก็ต้องออกแรงไขว้ถึงได้มาใช้
เว็บไซต์ BBC ไทย รายงานไว้ว่า……..
“พระปัญญาได้สถานะผู้ลี้ภัยมาตั้งแต่กลางเดือน มี.ค. 64 ซึ่งในกรณีของเขา ทางการเยอรมนี อนุญาตให้พำนักอยู่ในประเทศได้ 3 ปี
พร้อมกับให้ค่าใช้จ่ายรายเดือน 446 ยูโร (ประมาณ 16,700 บาท) ไม่รวมค่าเช่าอีก 260 ยูโร (ประมาณ 9,700 บาท)
นอกจากนี้ ยังออกเงินค่าประกันสุขภาพและค่าเรียนภาษาเยอรมันให้ด้วย
พระปัญญาเล่าถึงตอนอยู่ในค่ายลี้ภัย ว่าต้องทำงานหนักแลกข้าว 3 มื้อ
ชีวิตนับตั้งแต่ก้าวออกจากแผ่นดินไทย บาตรที่นำติดตัวมาด้วย ใช้งานนับครั้งได้ เพราะอาหารไม่ต้องบิณฑบาต แต่ต้องต่อแถวรอรับอาหารเหมือนกับคนอื่นๆ ในค่ายผู้ลี้ภัย ซึ่งบางครั้งก็มีวิวาทะกันบ้างเวลาถูกแซงคิว โดยเฉพาะในช่วงที่สภาพอากาศหนาวเย็น
แต่ก็มีญาติโยมที่เดินทางนำอาหารมาใส่บาตรถึงหน้าค่ายผู้ลี้ภัย 4-5 ครั้ง
ส่วนสถานะใหม่ที่ได้มาแล้วอย่างแน่นอนคือ ผู้ลี้ภัยการเมืองในเยอรมนี
แต่สถานะความเป็นภิกษุก็ยังสมบูรณ์ แม้จะไม่มีสังกัด หรือวัดอยู่
ก่อนหน้านี้ ได้รับเงินค่าใช้จ่ายรายจากรัฐบาล เดือนละประมาณ 300 ยูโรเศษ(ประมาณ 11,200 บาท)
เพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัวจากตอนที่อยู่ในค่ายแรกรับซึ่งได้ที่ 116 ยูโรต่อเดือน (ประมาณ 4,350 บาท)
อย่างไรก็ตาม ได้มีกลุ่ม 3 นิ้ว ที่ติดตามชีวิตลี้ภัยของพระปัญญา มองว่าพระนั้นโชคดี ที่ยังได้เงิน และได้ลี้ภัย ไม่ต้องรับผิดมาตรา 112
………………………
มีคอมเม้นต์ถามพระปัญญาด้วยว่า
“ในเมื่อมีสถานะลี้ภัยขนาดนี้แล้ว สึกออกจากพระจะดีกว่าหรือไม่?”
จะได้ไม่ต้องเกี่ยวข้องกับศาสนา หรือห่มผ้าเหลืองให้ดูไม่ดีอีกต่อไป
………………………
แครอทปัญญานี้ เดิมเป็นพระสังกัดวัดหนึ่งแถวๆ บางละมุง ชลบุรี แต่ฝักใฝ่มั่วสุมขบวนการสามนิ้ว ทั้งโพสต์จ้วงจาบสถาบัน ทั้งขึ้นเวทีปราศรัย จนถูกขับออกจากวัด
ถูกตำรวจออกหมายเรียกตัวไปรับทราบข้อหา นำข้อมูลเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ๕-๖ คดี และอื่นๆ อีก
หลังรับทราบข้อหาแล้ว ได้รับการช่วยเหลือให้บินออกนอกประเทศ ไปขอลี้ภัยอยู่เยอรมันในที่สุด
ตามพรบ.สงฆ์ เมื่อถูกขับออกจากวัด ร่อนเร่ ไม่มีสังกัดอยู่เป็นหลักแหล่ง ต้องพ้นสภาพพระ แต่แครอทปัญญาอ้าง ด้านๆ ว่า
“สถานะภิกษุของอาตมาเนี่ย เป็นสถานภาพที่ได้มาตามพระธรรมวินัย
สถานะพระมันเป็นสถานะตามกฎหมายในประเทศไทย ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่ขัดหรือแย้งกับพระธรรมวินัยอยู่แล้ว
เพราะฉะนั้น อาตมาก็ไม่เอามาใส่ใจ ในจุด ๆ นั้น
ในเรื่องมันจะสิ้นสุดตามกฎหมายอะไรก็ช่าง เพราะว่าอาตมาก็ไม่ได้อยู่ที่เมืองไทย”
ส่วนเรื่องศีล ๒๒๗ และวัตรปฏิบัติของความเป็นพระภิกษุล่ะ ในสภาพคนนอกกฎหมาย ตกคลั่กคละเคล้าอยู่ในค่ายผู้ขอลี้ภัย ยังจะถือเป็นพระอยู่ได้หรือ?
แครอทปัญญาตอบกับบีบีซี ไทย ว่า…..
เรื่องศีลยอมรับว่าไม่สามารถถือศีลได้ครบทั้ง 227 ข้อ เพราะข้อห้ามบางอย่างเป็นเรื่องที่ไม่สามารถทำได้ในชีวิตจริง และบางเรื่อง ก็ไม่สอดคล้องกับบริบทในสังคมเยอรมนี
“อย่างเรื่องการจับเงิน เรื่องการสะสมเงิน เพราะว่าถ้าอาตมาไม่เปิดบัญชี ก็ไม่สามารถที่จะได้รับความช่วยเหลือจากภาครัฐ
การแต่งกายคล้ายฆราวาส ในเมืองหนาวก็จำเป็นจะต้องสวมหมวก สวมผ้าพันคอ สวมกางเกง
ส่วนการแตะเนื้อต้องตัวผู้หญิงนั้น ตามภาพถ่าย แครอทปัญญาคลุกคลีหญิงร่วมค่าย จับมือถือแขน ถ่ายรูปหมู่ดูมีความสุข แครอทปัญญาอ้างว่า
“จะอาบัติหรือไม่นั้น ต้องมีองค์ประกอบหลายอย่าง คือ ต้องมีความกำหนัด มีความเสน่หา ไปจับต้องด้วยความใคร่ ลักษณะนี้ มันถึงจะเข้าข่ายอาบัติ
โดยเฉพาะในสังคมยุโรปที่มีการทักทายกันด้วยการจับมือและโอบกอด เป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำ เพื่อให้เข้ากับผู้คนที่นั่นได้
สมัยนี้ เรื่องสิทธิความเท่าเทียมกัน เรื่องความเสมอภาค คนให้ความสำคัญ มากกว่าที่จะบอกว่า เธอเป็นนักบวชแล้วไง เธอวิเศษกว่าฉันตรงไหน ทำไมฉันแตะตัวเธอไม่ได้”
ในเมื่อยังอ้างตัวเป็นพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา แล้วด้านการฉันอาหารล่ะ ดำรงวิถีสมณะอย่างไร?
แครอทปัญญาบอกว่า…….
“อาหารที่ค่ายมีให้ 3 มื้อ แต่ทุกวันไม่ต่างกันมาก มื้อเช้า จะมีขนมปัง ชีส แยม นม แตงกวา หรือมะเขือเทศ
กลางวัน ก็จะเป็นอาหารร้อน ข้าวหรือโปเตโต้ (มันฝรั่ง) หรือมะกะโรนี ก็จะมากับซอส ประมาณ สามซอส
เย็นก็จะเป็นขนมปัง ชีส มันจะเป็นแบบนี้ทุกวันๆๆๆ”
ครับ…..
เอาคร่าวๆ เท่านี้พอ อยากถามว่า อ่านแล้ว หลับตาเห็นสภาพตามนั้นแล้ว
ท่านลองตอบซิ ไอ้คนนี้มันยังเป็น “พระ” อยู่ตรงไหน นอกจากเดียรถีย์โล้น ไม่ต่างเอาผ้าเหลืองคลุมเหี้ย ยั้วเยี้ยตามดงหมาเน่า
ในความเห็นผม การหลบหนีไปลี้ภัยอยู่ต่างประเทศ เป็นส่วนหนึ่ง แต่การปล่อยให้เดียรถีย์ปัญญาอ้างเป็นพระอย่างนั้นไปเรื่อยๆ แบบนั้น
การนิ่งเฉยของ “มหาเถรสมาคม” จะถูกทึกทักเป็นการ “ยอมรับ” ในภิกขุภาวะของเดียรถีย์ปัญญาไปก็ได้!
ยิ่งทุกวันนี้ “พระพุทธศาสนา” กำลังได้รับความเคารพศรัทธาในธรรมจากชาวโลก โดยเฉพาะสังคมตะวันตก
แต่สภาพเดียรถีย์ปัญญา ในสภาพหนูในรูท่อน้ำครำ หนอนในถังส้วม แล้วอ้างตัวว่า ข้านี่แหละ “พระสงฆ์” ผู้สอนธรรมชาวโลก
มันจะเป็นภาพขัดแย้งเชิงลบกับพุทธศาสนาขนาดไหน คิดซิ?
ฉะนั้น ผมเห็นว่า สำนักพุทธฯ ในฐานะ เลขาฯ มหาเถรสมาคม ควรนำเรื่องนี้เข้าวาระประชุมมหาเถรฯ
เพื่อมีแถลงการณ์เกี่ยวกับสถานะเดียรถีย์ปัญญาออกมาให้เป็นหลักฐานทางการ จะยืนยันความเป็นพระ หรือไม่ใช่พระ
นั่นเพียงแอบอ้าง ก็ว่าไปให้ชัดเจน
ที่ผมยกเรื่องนี้มาพูด ก็พูดในข้อสังเกตว่า………
“ประเทศไทย” เป็นราชอาณาจักรไทยอยู่ตรงไหน?
ก็ตรง “ชาติ/ศาสนา/พระมหากษัตริย์”
ถ้า ๓ อย่างนี้ แตกออกจากกัน ขาดออกจากกัน “อย่างใด-อย่างหนึ่ง” วันไหน
หมายถึง “ประเทศไทย” แตกหรือขาดจากความเป็น “ราชอาณาจักรไทย” อันหนึ่ง-อันเดียวกัน วันนั้น!
ขณะนี้……
มีกลุ่มคน คณะบุคคล คณะการเมือง สมคบกับนอกชาติ พยายามทำให้ความเป็นราชอาณาจักรไทยแตกขาดออกจากกัน
เพื่อการแบ่งแยกและแบ่งกันครอง ดังประจักษ์อยู่!
เห็นจะจะแล้วใช่ไหม…..
ในปฏิบัติการ “ล่มชาติ-ล้มสถาบัน?”
แล้วไม่ฉงนหรือ ว่าในการล่มชาติ-ล้มสถาบันครั้งนี้ทำไมจึงมีขบวนการพระสงฆ์เข้ามาร่วมขบวนการด้วย?
ความจริง ก็มีแทรกทุกครั้ง….
ทั้ง ๑๔ ตุลา. ๖ ตุลา. พฤษภาทมิฬ พฤษภา ๕๓ แดงทักษิณ “เผาบ้าน-เผาเมือง”
แต่ที่ออกตัวแรง ชัดแจ้ง เอาจริง-เอาจัง ก็ครั้งนี้แหละ!
นี่คือคำตอบชัดเจนในตัว ว่าทำไมจึงพระในม็อบสามนิ้วล่มชาติ-ล้มสถาบัน?
เพราะมันต้อง กัดเซาะ โยกคลอน บ่อนทำลาย ทั้งชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์ ให้พังไปด้วยกัน
แผน “ปฏิรูปแบบปฏิวัติ” ชนิดขุดรากถอนโคน ซอยราชอาณาจักรไทยเป็นสาธารณรัฐ “แบ่งกันครอง”
แล้วสถาปนา “ระบบประธานาธิบดี” แทน “พระมหากษัตริย์” ในคอนโทรลจักรวรรดิอำนาจยุโรป-สหรัฐ จึงจะสำเร็จ ตามแผนที่ร่วมกันทำอยู่ขณะนี้!
ทำไมไอ้เดียรถีย์แครอทปัญญาไปโผล่เป็นพระล้างส้วมอยู่ในค่ายอพยพที่เยอรมันได้ง่ายๆ ไม่สงสัยกันหรือ?
ก็แผนแก๊งฝรั่งวอลเปเปอร์ไอ้ตี๋นั่นแหละ มันจัดฉากส่งกันไป ไปทำไมน่ะหรือ……
ก็ไปให้คนระยำอย่างไอ้เดียรถีย์ปัญญา ใช้ภาพหัวโล้น-ห่มเหลือง อ้างตัวเป็นพระสงฆ์ ที่ชาวยุโรปกราบไหว้
แต่ต้องมาเป็นคนล้างส้วม
กิน ๓ มื้อ มั่วสุมส้องเสพหมู่หญิง ให้เป็นภาพยืนยันสู่การหยันเพื่อคลายศรัทธาของหมู่ชนต่อพระพุทธศาสนา ไม่ต่างใช้ลูกให้ฆ่าพ่อแม่ตัวเอง ซึ่งเป็นแผนอุบาทว์ชาติชั่วมาก
แต่ที่อุบาทว์และชาติชั่วกว่า…….
ก็คนไทยที่ยอมกำมีดเพื่อพวกมันนั่นแหละ!