เปลว สีเงิน
รัฐธรรมนูญมาตรา ๔๔ บอกว่า
“บุคคลย่อมมีอเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ”
ดังนั้น เมื่อวาน (๑๒ ธค.๖๔) การชุมชุมของขบวนการโค่นล้มสถาบันจึงกลับมาอีกครั้ง กระจายไป “ชิมลาง-ลองเชิง” หลายจุดใน กทม.
เช่น ที่แยกดินแดงบ้าง หน้า UN บ้าง หน้าศาลฎีกา บ้าง และที่ “สี่แยกราชประสงค์” บ้าง
ที่ราชประสงค์ มวลชนกลุ่มราษฎร นัดชุมนุม “12.12 ยกเลิก 112” ดูจะเป็นกลุ่ม “องค์กรเครือข่าย” หลัก
ประกอบด้วย กลุ่มทะลุฟ้า กลุ่มวีโว กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์การชุมนุม กลุ่ม ไอลอว์ ของนายยิ่งชีพ กลุ่ม ๒๔ มิถุนา ประชาธิปไตย ของนายสมยศ และกลุ่มป้าเป้า จอมเปิด เป็นต้น
ก็ชัดว่า…..
พวกเดิม กลุ่มเดิม หน้าเดิม ขบวนการเดิม เข้าองค์ประกอบ ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อ ๑๐ พย.๖๔ ที่ว่า
“กลุ่มในลักษณะองค์กรเครือข่าย!
เป้าหมายชุมนุมก็ “ล้มเจ้า” เหมือนเดิม ปลุกระดม-รณรงค์ล่าชื่อ ยกเลิกมาตรา ๑๑๒
ฟังตามข่าว เขาบอกว่า ขออนุญาตชุมนุมจากตำรวจแล้ว จะชุมนุมโดยสงบถึง ๒ ทุ่ม ก็จะเลิก
แต่จะโดยสงบหรือไม่สงบก็ตาม ช่วงนี้บ้านเมืองยังอยู่ใต้พรก.ฉุกเฉินและพรบ.ควบคุมโรคระบาด
การอ้างสิทธิเสรีภาพชุมนุมโดยไม่เคารพสิทธิเสรีภาพผู้อื่น อ้าง “เสมอภาค-ภราดรภาพ” ตัวเอง โดยไม่คำนึงถึงความเสมอภาค-ภราดรภาพคนอื่น เช่นนี้
จะถือเป็นประชาธิปไตยหาได้ไม่
ถ้าจะเป็น ก็เป็นได้แค่ “ประชาธิปไตย demagogue” คือประชาธิปไตยปลุกปั่นลากกันไปเท่านั้น!
ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลวันนี้ ชื่อ “พล.ต.ท.สำราญ นวลมา” เด็กเพชร ลูกศิษย์หลวงพ่อทองศุข วัดโตนดหลวง
เมื่ออยากลองของ จะชุมนุมสุมเมืองกันอีก อย่างที่นายสมยศประกาศ ก็จำชื่อนี้ไว้ด้วย
ไม่ใช่ “พล.ต.ท.ภัคพงษ์ พงศ์เภตรา” คนก่อนแล้วนะ!
ศาลรัฐธรรมนูญเคยมีคำวินิจฉัยไว้แล้ว เมื่อ ๑๐ พย.๖๔ มิใช่หรือ?
ในคดี นายอานนท์ นายภาณุพงศ์ นางสาวปนัสยา ปราศรัย “ล้มล้างการปกครอง” ที่ลานธรรมศาสตร์ นั่นน่ะ
ว่า อย่างที่ทำๆ กันนี่ มันไม่ใช่การปฏิรูป
แต่มันเข้าข่าย “ล้มล้าง” แล้ว!
เพราะทำกันเป็นกลุ่มลักษณะองค์กรเครือข่ายและทำกันต่อเนื่อง
ฉะนั้น ระวัง คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญถือเป็นที่สุดและมีผลผูกพันกับทุกองค์กร
คำวินิจฉัย ระบุไว้ชัด อย่างที่ทำกันนี้ มันเป็น “องค์กรเครือข่าย”
ที่จับๆ ไป นั่นแค่ลูกสมุนองค์กรเครือข่ายของขบวนการล้มเจ้า หมายความว่า ยังมีต้นตอ-ตัวการ “บงการอยู่ข้างหลัง”
ตำรวจยังต้องสืบเสาะไปหาต้นตอ-ตัวการที่มุดรูชักใยกลุ่มองค์กรเครือข่ายให้เคลื่อนไหวอยู่ขณะนี้
ซึ่งมันแน่นอนว่า ที่ออกมาชมนุมหยั่งเชิงเมื่อวาน ไม่ใช่แต่ละคนเข้าฝันแล้วออกมาชุมนุมกันเอง โดยไม่มีตัวการนัดหมาย
ก็ดีเหมือนกัน จะได้วัดกึ๋นของ “ผู้บัญชาการคนใหม่” ซึ่งยังหนุ่มฟ้อ-หล่อเฟี้ยวที่ชื่อ “พล.ต.ท.สำราญ นวลมา” จะแค่ดายหญ้า
หรือขุดรู “ตามล่า” ถึงรัง!?
ทบทวนความจำใน “คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ” เมื่อ ๑๐ พย.๖๔ กันหน่อย
จะได้ไม่ลืม ว่าหลังจากคำวินิจฉัยนี้ออกมาแล้ว ใคร-กลุ่มใด ยังปลุกปั่น-ปลุกระดมให้ยกเลิกมาตรา ๑๑๒ ถือว่า กลุ่มบุคคลนั้น…….
เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา ๔๙ วรรค ๑ ที่ บัญญัติไว้ว่า
“บุคคลจะใช้สิทธิหรือเสรีภาพ เพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมิได้”
ซึ่งในคำวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐรรมนูญวันนั้น ก็ระบุไว้ชัด ในตอนหนึ่ง ว่า
ข้อเท็จจริงยังปรากฏว่า…….
การชุมนุมหลายครั้ง มีการทำลายพระบรมฉายาลักษณ์ของพระมหากษัตริย์ การแสดงออก โดยลบแถบสีน้ำเงิน ซึ่งหมายถึงพระมหากษัตริย์ ออกจากธงไตรรงค์
ข้อเรียกร้อง ๑๐ ข้อ ของผู้ถูกร้องที่หนึ่ง (อานนท์) ที่สอง (ไมค์-ภาณุพงศ์) และที่สาม (รุ้ง-ปนัสยา)
เช่น การยกเลิกมาตรา ๖ ของรัฐธรรมนูญ
-การยกเลิกการบริจาคและรับบริจาคโดยเสด็จพระราชกุศล
-การยกเลิกพระราชอำนาจในการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองในที่สาธารณะ
เป็นข้อเรียกร้องที่ทำให้สถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่เป็นไม่ตามประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของชาติไทยที่ยึดถือปฏิบัติกันมาตลอดมา
ทั้งพฤติการณ์และเหตุการณ์ต่อเนื่องจากการกระทำของผู้ถูกร้องที่หนึ่ง ที่สองและที่สาม แสดงให้เห็นถึงมูลเหตุจูงใจของผู้ถูกร้องที่หนึ่ง ที่สองและที่สามว่า
การใช้สิทธิหรือเสรีภาพของผู้ถูกร้องที่หนึ่ง ที่สอง และที่สาม มีเจตนาซ่อนเร้น
เพื่อล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มิใช่เป็นการปฏิรูป
การใช้สิทธิหรือเสรีภาพของผู้ถูกร้องที่หนึ่ง ที่สอง และที่สาม เป็นการแสดงความคิดเห็นโดยไม่สุจริตเป็นการละเมิดกฎหมาย
มีมูลเหตุจูงใจ เพื่อล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๔๙ วรรค ๑
แม้เหตุการณ์ตามคำร้องผ่านพ้นไปแล้ว ………
แต่หากยังคงให้ผู้ถูกร้องที่หนึ่ง ที่สองและที่สาม รวมทั้งกลุ่มในลักษณะองค์กรเครือข่าย กระทำการดังกล่าวต่อไป
ย่อมไม่ไกลเกินเหตุ ที่นำไปสู่การล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
รัฐธรรมนูญมาตรา ๔๙ วรรค ๒ ให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจสั่งการให้เลิกการกระทำดังกล่าวที่จะเกิดขึ้นอีกในอนาคตได้
ด้วยเหตุข้างต้น จึงวินิจฉัยว่า ……….
“การกระทำของผู้ถูกร้องที่หนึ่ง ที่สอง และที่สาม เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพ เพื่อล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๔๙ วรรค ๑
และสั่งการให้ผู้ถูกร้องที่หนึ่ง ที่สอง และที่สาม รวมทั้งกลุ่มองค์กรเครือข่าย เลิกกระทำการดังกล่าว ที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตด้วย ตามมาตรา ๔๙ วรรค ๒”
นั่นก็คือ……….
ที่ออกมาชุมนุม ปลุกระดม ให้ยกเลิกมาตรา ๑๑๒ อย่างที่ทำขณะนี้ ละเมิดรัฐธรรมนูญ มาตรา ๖ ชัดเจน
“องค์พระมหากษัตริย์ ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดๆ มิได้”
แล้วนี่…
ยังจะมาปิดถนนขายปลาร้า ขายเสื้อ ตั้งบูทล่าชื่อให้ยกเลิกมาตรา ๑๑๒ ชนิดไม่เห็นกฎหมายอยู่ในสายตากันเช่นนี้
มันจะได้หรือ?
คำวินิจฉัยศาล ผูกพันกับองค์กรตำรวจด้วยนะ อย่าลืม!
ได้ยินนายสมยศ ผู้ผิดซ้ำซาก ไม่เคยสำนึก และไม่เคยหลาบจำ พูดคำโตเมื่อวาน
“ปีหน้า จะมาหนักกว่านี้”!
หวังว่า ท่านผบ.ตร.และท่านผบช.น.คงได้ยิน ถึงแม้กลุ่มผู้ชุมนุมอ้างว่า ล่าล้านรายชื่อ เพื่อไปยื่นให้รัฐสภายกเลิกมาตรา ๑๑๒
นั่นก็ผิดกฎหมาย!
เพราะรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๕๕ ระบุว่า
“การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่เป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรืเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ จะกระทำมิได้”
การที่ขบวนการสามนิ้วล้มเจ้า กลับมาชุมนุมกันอีกระยะนี้ จะมองเป็นอื่นไม่ได้
นอกจากขณะนี้ “หัวขบวน” ของกลุ่มองค์กรเครือข่าย “จัดทัพและปรับรูปแบบใหม่” แล้ว
และทยอยกระจายกลุ่มย่อยๆด้วยเงื่อนไขต่างๆ ลงตามพื้นที่ เป็นการหยั่งเชิงตำรวจและดูทิศทางรัฐบาล ทั้งม็อบจะนะ ม็อบล่ารายชื่อ
ก่อนรวมตัว-รวมกำลัง “ทำศึกใหญ่”!
ก็อยู่ที่นโยบาย…….
ว่าจะไล่จับผึ้งทีละตัวเด็ดตูด หรือจะ “ตีรังผึ้ง” ให้มันสิ้นซากซะที่รุ่นสามสัส
บรรทัดฐานกฎหมายมันมีอยู่แล้ว!