โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางใหญ่ – กาญจนบุรี เป็นอีกหนึ่งโครงการที่ล่าช้าจากแผนงาน ระยะเวลาร่วม 3 ปี งานโยธามีความคืบหน้าไปเพียง 25% ซึ่งปัญหาหลักเกิดจากการกรมทางหลวง ไม่สามารถเวนคืนที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการได้ ต้นตอของเรื่อง คือ ค่าชดเชยกรรมสิทธิ์ในการเวนคืนที่ดินจากการศึกษาเมื่อปี 2558 ประเมินกรอบวงเงินค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินไว้ที่ 5,420 ล้านบาท แต่เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับสภาพเมืองที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ประกอบกับสถานการณ์การพัฒนาที่ดินเปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบัน กลับพบว่าค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าว ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง
โดยจากการทบทวนสถานการณ์ในปี 2559 – 2560ซึ่งได้มีการเข้าสำรวจพื้นที่จริง ทั้งที่ดิน สิ่งปลูกสร้าง และต้นไม้อย่างละเอียดพบว่ามีจำนวนมากกว่าที่ได้ประมาณการไว้ ขณะเดียวกันยังเกิดโครงการสำคัญตามแนวเส้นทางมอเตอร์เวย์ และบริเวณใกล้เคียง ส่งผลให้สภาพการใช้พื้นที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมซึ่งคณะกรรมการกำหนดราคาเบื้องต้นได้กำหนดราคาค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินตามสภาพความเป็นจริง เคาะกรอบวงเงินเพิ่มขึ้นอีก 12,534 ล้านบาท รวมเป็นเงินค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งหมด 17,954 ล้านบาทนับเป็นงบประมาณที่สูงกว่าคาดการณ์ไว้มาก จึงเป็นต้นเหตุกระทบความก้าวหน้าของโครงการ
อย่างไรก็ตาม จากปัญหางบประมาณค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ กรมทางหลวง ต้องรวบรวมปัญหาทั้งหมด เพื่อเสนอขออนุมัติงบประมาณเพิ่มเติมจากกระทรวงคมนาคม และคณะรัฐมนตรี (ครม.) กระบวนการแก้ไขปัญหาถูกลากยาวมาต่อเนื่องจากรัฐบาลก่อนหน้า จนท้ายที่สุดผลกระทบหลักไม่เพียงโครงการล่าช้า แต่พบว่ามีประชาชนกว่า 2,500 คน ได้รับความเดือดร้อน เนื่องจากยังไม่ได้รับค่าเวนคืนจำนวนรวมกว่า 4,000 รายการ และบางส่วนย้ายที่อยู่อาศัยเพื่อเตรียมส่งมอบที่ดินแล้ว แต่กลับไม่ได้รับเงินชดเชย
ทั้งนี้ เมื่อครั้งการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 พบว่าประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน ได้รวมตัวกันมาชุมนุมเรียกร้องบริเวณหน้าอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ เกียกกาย โดยมี นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้ลงมารับเรื่องที่บริเวณหน้าอาคารรัฐสภา พร้อมรับปากกับประชาชนในวันนั้นว่า จะหาทางแก้ไขปัญหาโดยเร็วที่สุด
นับไทม์ไลน์จากการรับข้อร้องเรียนในวันนั้น รวมระยะเวลา 1 เดือน ที่นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้หารือร่วมกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อตรวจเช็ครายละเอียดของวงเงินที่ กรมทางหลวงจะเสนอขออนุมัติเพิ่มเติมอย่างรอบคอบ พร้อมสั่งการให้ กรมทางหลวงกลับไปดูราคาประเมินที่ดินให้ดี อย่าให้เป็นราคาเทียม เพราะเท่ากับเป็นการทุจริต โดยกระทรวงคมนาคมจะนำราคาประเมินที่ดินของสำนักงานที่ดินและราคาซื้อขายจริงๆ มาเปรียบเทียบกันด้วย ถ้าราคาถูกต้อง จึงจะอนุมัติและเสนอเรื่องสู่ที่ประชุม ครม.
โดยการทบทวนรายการค่าใช้จ่าย และประเมินราคาที่ดินอย่างรอบคอบอีกครั้ง ทำให้สามารถปรับลดวงเงินในส่วนที่ไม่จำเป็นออกไปได้ จากวงเงินเดิมที่เคยเสนอขอจำนวน 12,534 ล้านบาท ลดลงเป็น 12,032 ล้านบาท หรือปรับลดลงราว502 ล้านบาทและเมื่อวันที่ 12 พ.ย.ที่ผ่านมา นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม จึงนำเรื่องเสนอเข้าที่ประชุม ครม.นอกสถานที่ จังหวัดกาญจนบุรี ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการประชุม โดยที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
สำหรับมติที่ประชุม ครม.ดังกล่าว เป็นผลให้กระทรวงคมนาคม สามารถเดินหน้าจ่ายค่าเวนคืนให้แก่ประชาชน พร้อมทั้งขับเคลื่อนโครงการเมกะโปรเจ็กต์ที่ล่าช้านี้ได้ โดยนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เตรียมจัดพิธีมอบค่าชดเชยการเวนคืนที่ดิน ในส่วนแรกวันที่ 13 ธ.ค.นี้ ซึ่งได้เรียนเชิญ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีมอบค่าเวนคืนแก่ประชาชน เพื่อเป็นปฐมฤกษ์ในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนกว่า 2,500 ครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากการเวนคืนที่ดินอย่างยุติธรรมและเหมาะสม
ขณะที่ กรมทางหลวงในฐานะหน่วยงานเจ้าของโครงการได้เตรียมความพร้อมเดินหน้าโครงการดังกล่าวให้ต่อเนื่อง โดยล่าสุด นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดี กรมทางหลวงได้เชิญผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการดังกล่าว รวมทั้งหน่วยงานในสังกัดผู้รับผิดชอบเข้าหารือเพื่อเตรียมความพร้อมการทำงาน ขณะเดียวกันยังได้สั่งการให้ผู้รับจ้างเตรียมระดมอุปกรณ์เครื่องจักรและบุคลากรดำเนินงานโดยด่วน
เนื่องจากปัจจุบันโครงการล่าช้าไปกว่า2 ปี มีความก้าวหน้าแค่ 25% ภาพรวมถือว่าช้ากว่าแผนไปประมาณ56% เพราะที่ผ่านมาสามารถเข้าพื้นที่ได้เพียง 31% หากจ่ายค่าเวนคืนแล้วตามมติ ครม.แล้ว กรมทางหลวงก็จะสามารถเข้าพื้นที่ได้ทันที และกำหนดเร่งรัดงานก่อสร้างให้เสร็จตามแผนคืองานโยธาต้องเสร็จต้นปี 2566ส่วนงานร่วมลงทุนการดำเนินงานและบำรุงรักษา (O&M) จะแล้วเสร็จหลังงานโยธาประมาณ 6 เดือน หรือราวกลางปี 2566 ดังนั้นประชาชนจะสามารถใช้บริการมอเตอร์เวย์สายใหม่ได้ในเดือนก.ย.2566
สำหรับมอเตอร์เวย์ สายบางใหญ่-กาญจนบุรี เป็นเส้นทางเชื่อมต่อโครงข่ายคมนาคมสู่ภาคตะวันตก โดยมีจุดเริ่มต้นต่อเนื่องจากทางหลวงหมายเลข 9 สายกาญจนาภิเษก ถนนวงแหวนรอบนอกด้านตะวันตก ผ่านพื้นที่ อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี ,อำเภอนครชัยศรี, อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม, อำเภอท่ามะกาและไปสิ้นสุดที่ อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี ระยะทางรวม 96.410 กิโลเมตร
ลักษณะโครงการเป็นทางหลวงพิเศษขนาด 4 ถึง 6 ช่องจราจร มูลค่าโครงการรวม 49,120 ล้านบาท ซึ่งการก่อสร้างงานโยธา มีจำนวนทั้งหมด 25 สัญญา เมื่อโครงการมอเตอร์เวย์ สายบางใหญ่-กาญจนบุรี ก่อสร้างแล้วเสร็จ จะทำให้การเดินทางจากกรุงเทพฯ และปริมณฑล ไปยังภาคตะวันตกของประเทศสะดวกมากขึ้น ขณะเดียวกันยังมีส่วนสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในภูมิภาค และช่วยพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน ด้านคมนาคมขนส่ง รวมถึงการท่องเที่ยว
นับระยะเวลาโครงการมอเตอร์เวย์สายบางใหญ่ – กาญจนบุรี ที่ติดหล่มก็ร่วม 3 ปี ประเทศไทยเสียโอกาสในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและหมุนเวียนงบประมาณเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไปมาก แต่ส่วนสำคัญที่สุดคือความเดือดร้อนของประชาชน จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าข้อดีของการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังฉับไว และรอบคอบ ของ “ราชรถ 1” นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญให้โครงสร้างพื้นฐานเดินหน้าตามแผน สู่กลไกยกระดับขีดความสามารถของประเทศในอนาคต