ซึ่งเป็นการเปิดเพิ่ม 5 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ชลบุรี (พัทยา อ.บางละมุง อ.สัตหีบ) เชียงใหม่ (อ.เมือง อ.แม่แตง อ.แม่ริม อ.ดอยเต่า) เพชรบุรี (ชะอำ) และประจวบคีรีขันธ์ (หัวหิน) ตามแผนการเปิดประเทศระยะที่ 2 เพื่อให้มีหลักการปฏิบัติเป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งหมด หรือ One SOP One System ซึ่งจะช่วยลดขั้นตอนดำเนินงานที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ และอำนวยความสะดวกในการเดินทางท่องเที่ยวมากขึ้น ถือเป็นการต่อยอดความสำเร็จจากโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์
โดยการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้เน้นเฉพาะผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว และมีผลเป็นลบในการตรวจหาเชื้อโควิดด้วยวิธี RT-PCR หรือไม่พบเชื้อเท่านั้นจึงจะสามารถท่องเที่ยวได้แบบไม่ต้องถูกกักตัว ในรูปแบบการกำหนดพื้นที่ท่องเที่ยวเฉพาะ (ซีลแอเรีย) เหมือนกับภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ ที่นักท่องเที่ยวต่างชาติสามารถเดินทางท่องเที่ยวได้ทั่วจังหวัดภูเก็ต แต่ต้องอยู่ในพื้นที่และห้ามออกนอกจังหวัดภูเก็ตเท่านั้น
“สาเหตุที่ต้องปรับรูปแบบการรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นรูปแบบซีลแอเรีย จากเดิมที่ใช้รูปแบบซีลรูต หรือการกำหนดเส้นทางท่องเที่ยวเฉพาะ อาทิ ใน 3 วันแรกของโครงการสมุยพลัสโมเดล กำหนดให้เที่ยวในซีลรูตเท่านั้น แม้ผลตรวจจะออกมาไม่พบเชื้อโควิด โดยจะต้องรอให้ครบ 3 วันก่อนจึงจะสามารถเที่ยวได้ทั่วเกาะสมุย และต้องครบ 7 วัน จึงจะสามารถข้ามไปเที่ยวในพื้นที่จังหวัดนำร่องอื่นๆ ได้
ทำให้ ททท.ทำการตลาดยาก จึงมีนักท่องเที่ยวเข้ามาน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ต้องการ จึงจะเสนอที่ประชุม ศบศ.เพื่อปรับรูปแบบโครงการให้เป็นการเที่ยวแบบไม่กักตัว แต่กำหนดให้อยู่ในพื้นที่ที่จำกัดไว้เท่านั้น เป็นการซีลแอเรียให้ โดยจะเปลี่ยนชื่อเป็นจากสมุยพลัสโมเดล เป็นสมุยพลัสแซนด์บ็อกซ์แทน เพราะรูปแบบการรับนักท่องเที่ยวเปลี่ยนไป แต่ยังรวม 3 พื้นที่ในการรับต่างชาติตามเดิม ได้แก่ เกาะสมุย เกาะพะงัน และเกาะเต่า” นายยุทธศักดิ์กล่าว