เปลว สีเงิน
นายกฯ นี่ “นักเลง” เต็มตัว!
แก้รัฐธรรมนูญ เลือกตั้ง บัตร ๒ ใบ ใครๆ ก็ฟันธงว่า “เข้าทางทักษิณ”
นายกฯ คงไม่หลงเกม!?
แต่โหวตวาระ ๓ เมื่อวาน (๑๐ กย.๖๔) ทั้งสส.ทั้งสว.สายทหาร “โหวตผ่าน” ตามเกณฑ์รัฐธรรมนูญกำหนด พรึ่บพรั่บ
หลายคนสงสัย….
นี่เท่ากับเปิดทางให้ทักษิณกลับบ้านอย่างเท่ๆ นี่นา?!
เพราะการให้แก้รัฐธรรมนูญ มาตรา ๘๓ และ ๙๑ เท่ากับให้การเลือกตั้งกลับไปเป็นเหมือนรัฐธรรมนูญ ปี ๒๕๔๐
ที่พรรคใหญ่ “กินรวบ” พรรคเล็ก “ตายเรียบ”!
ระบบบัตร ๒ ใบ นั้น ใบหนึ่ง ใช้เลือกสส.เขตที่รัก ๔๐๐ คน ส่วนอีกใบ ใช้เลือก “พรรคที่ชอบ”
คนชนะเขต ได้เป็นสส.ไปเลย คนแพ้-แพ้ไปเลย
ไม่มีการเอาคะแนนคนแพ้ไปรวมคำนวณหาสัดส่วนสส.พึงมี-พึงได้ เป็น “สส.ปัดเศษ” อย่างตอนนี้
สรุปง่ายๆ กลับไปใช้ระบบคำนวณ “สส.ปาร์ตี้ลิสต์” ๑๐๐ คน แบบเดิม
คนและพรรคที่แพ้ ก็ “คะแนนตกน้ำ” หายไปเลย!
ส่วนคนและพรรคที่ชนะ ก็นำคะแนนที่แต่ละพรรค “ได้รับเลือกตั้ง” มาคำนวณแบ่ง ๑๐๐ เก้าอี้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ กันไป
เอาเป็นตกลงว่า…..
การแก้เป็นบัตร ๒ ใบ ผ่านรัฐสภาเรียบร้อยแล้ว ดองไว้ ๑๕ วัน ระหว่างนี้ ใครเห็นว่าการแก้แบบนี้ ผิดหลักการของรัฐธรรมนูญที่ผ่านประชามติมาแล้ว
เข้าชื่อตามเกณฑ์ไปยื่นต่อประธานรัฐสภา เพื่อส่งศาลรัฐธรรมนุญตีความได้ ถ้าครบ ๑๕ วันแล้ว คือตกประมาณ ๒๕ กันยา.ไม่มีใครยื่นคัดค้าน
ก็ต้องนำร่างแก้ไขนี้ขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงมีพระบรมราชวินิจฉัย ลงพระปรมาภิไธย ประกาศใช้ต่อไป แทน มาตรา ๘๓ และ ๙๑ ปัจจุบัน
ภายใน ๖ เดือน กกต.ต้องไปร่างแก้ไข “กฎหมายลูก” คือพรบ.เลือกตั้งสส.ว่าด้วยกฎ กติกา ระเบียบ วิธีการ ให้เป็นไปตามร่างแก้ไข ๒ มาตรานี้ ให้แล้วเสร็จ
หลักใหญ่ๆ คือ ถ้าเผอิญมีการยุบสภา “เลือกตั้งทั่วไป” หลังประกาศใช้แล้ว แม้กฎหมายลูกยังไม่เสร็จ
ระบบ “บัตร ๒ ใบ” ก็ต้องใช้เลย!
โดยกกต.ต้องออกกฎกติกาชั่วคราว ใช้เหมือน “วัคซีนฉุกเฉิน”
แต่ ช่วงยังไม่ประกาศใช้ ถ้ามีเลือกตั้ง ต้องใช้ตามรัฐธรรมนูญปัจจุบัน
พอเข้าใจกันแล้วนะ ทีนี้ถึงตอนเมาธ์กันละ ถ้าถามว่า ผมเห็นเป็นอย่างไรในเรื่องนี้?
ตอบได้เลยว่า “ยังไงก็ได้”
เพราะระบบบัตรใบเดียว ทุกคะแนนเป็นน้ำเชื้อเกิด “สส.ปัดเศษ” ก็ทั้งดี-ไม่ดี ดังเห็นอยู่
ระบบบัตร ๒ ใบ พรรคเล็ก “ตายหมด” พรรคใหญ่ “กินรวบ” อาจเกิดระบบ “ประชาธิปไตยเบ็ดเสร็จ” อย่างยุคทักษิณ ก็ทั้งดี-ไม่ดี
มัน “ครือกัน”
แต่เรื่อง”ดี-ไม่ดี”นั้น มันไม่ได้อยู่ที่ระบบ หากแต่อยู่ที่ “ตัวคน” โดยเฉพาะผู้จะมาเป็น “ตัวนำ” ระบบมากกว่า!
หลักการประชาธิปไตย…
ระบบเลือกตั้ง ให้ “ประชาชน” เป็นผู้ชี้ขาด ผ่านการเลือก!
ฉะนั้น บัตรเลือกตั้ง ๒ ใบ เลือกคนที่ชอบแยกกับพรรคที่ใช่ สร้าง “ผลประโยชน์” ๒ เด้งกับชาวบ้าน อย่างที่รู้กันในระบบเลือกตั้ง
มันเท่ากับวัดใจทั้งผู้ถูกเลือกมาเป็น “ผู้นำ” ทั้ง “ผู้เลือก” คือตัวชาวบ้านด้วย!
คนกลัว พรรคระบอบทักษิณ จะคืนอดีต
แต่เมื่อมองผ่านการแก้รัฐธรรมนูญที่ smooth as silk เมื่อวาน ทำให้มองเห็นตัวตน “พลเอกประยุทธ์” ในความเป็นสุภาพบุรุษนักเลงการเมืองประชาธิปไตย เด่นชัด
“มวยดี” ไม่เกี่ยงทั้งเวทีและกติกา!
ใครก็ได้ จะทักษิณ จะเพื่อไทย เลือกเอาเลย จะเอากติกาแบบไหน จะใบเดียว สองใบ หรือจะเขียนชื่อใส่บัตร ได้ทั้งนั้น
แล้วมาวัดกันให้รู้แล้ว-รู้แร่ด บนเวทีประชาธิปไตยเลือกตั้ง จะๆ แจ้งๆ ไปเลย
วัดใจ “ประชาชน” ด้วย!
ว่าต้องการชาติ, สถาบัน, ประชาชน รุ่งโรจน์โชติสุข เศรษฐกิจนวัตกรรมพัฒนา บ้านเมืองมั่งคั่งก้าวหน้า ด้วยอุตสาหกรรมปฏิวัติเกษตร
หรือต้องการ “ล่มชาติ-ล้มสถาบัน” เปลี่ยนระบบกษัตริย์เป็นประธานาธิบดี ให้ประเทศเป็นอย่างลิเบีย อัฟกานิสถาน พม่า ในละตินอเมริกาและในแอฟริกาหลายต่อหลายประเทศทุกวันนี้
ประชาชน “ผู้เลือก” พอใจแบบไหน ระบบบัตร ๒ ใบ ก็แทงขาดไปเลย
มั่นด้วยเห็นผลงานและเชื่อในศรัทธาความจริงใจของพลเอกประยุทธ์ ก็เลือกพรรคที่พลเอกประยุทธ์นำไปเลย
แต่ถ้ามั่นในระบอบทักษิณ ศรัทธาในโกงแบ่งกัน ต้องการล่มชาติ-ล้มสถาบัน ต้องการให้ไทยตกอยู่ใต้ตีนฝรั่งย่ำ ก็เลือกพรรคระบอบนั้นไปเลย
ระบบบัตร ๒ ใบ ว่าไปอีกที ที่ว่าการเมือง ๒ ขั้ว นั้น คือขั้ว “เอาชาติ-เอาสถาบัน” กับขั้ว “ล่มชาติ-ล้มสถาบัน”!
ที่ผ่านคล่องกว่าคลองสุเอซ ในมุมผม ที่ให้เป็นไปตามธรรมชาติ ทางหนึ่ง นายกฯ ไม่ต้องการให้เกิดประเด็น “ขัดคอประชาธิปไตย”
อีกทาง ในเชิงนักเลง เมื่อเขาแพ้แล้วข้องใจ ก็ “ปิดแอร์-วัดใจ” เอากันชนิดไม่เกี่ยงเวทีและกติกา ล้างตาให้ทะลุถึงดากกันไป!
ฉะนั้น ปีหน้า ปี ๖๕ จะต้นปีหรือกลางปี เตรียมปูเสื่อรอเลือกตั้งในศึก “ชิงบัลลังก์ตั่งทอง” ระหว่างนายกฯประยุทธ์กับระบอบส้มอมแดงทักษิณได้เลย
แต่ทีนี้ ประเด็นมันอยู่ที่ว่า….
การเมืองเรื่องพรรคนั้น นายกฯ เหมือน “เจ้าที่ไม่มีเมืองครอง”
“เมือง” ในที่นี้ คือ ไม่มีทั้งพรรค ทั้งสส.ลูกพรรค ตัวท่านเอง เป็นแค่ “ดารารับเชิญ” ในบัญชีรายชื่อนายกฯ ของพรรคพลังประชารัฐ เท่านั้น
แต่เมื่อจะสู้ให้รู้ขาว-รู้ดำในระบบเลือกตั้ง กติกาบัตร ๒ ใบ นั่นก็ต้องดูต่อ ว่าใบต่อไป ที่นายกฯ จะหงาย คือไพ่อะไร?
“พลังประชารัฐ” คือเมืองที่เป็นเดิมพันในการขึ้นตะบันกับเพื่อไทย-ระบอบทักษิณ ในศึกบัตร ๒ ใบ ครั้งต่อไป
ไม่ใช่…หรือใช่?
เออ…มันก็ยังต้องลุ้นนะ ลุ้นทั้งทางพรรคและทางตัวนายกฯ เอง
ต้องเข้าใจให้ชัด ที่ว่าพลังประชารัฐ คือ ๓ ป.นั่นน่ะ ความจริงทั้งทางนิตินัยและพฤตินัย มีแค่ ป.เดียว คือ ป.ป้อม “พลเอกประวิตร” เท่านั้น เป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐในตำแหน่งหัวหน้าพรรค
ส่วน ป.ป๊อก “พลเอกอนุพงษ์” นั่นไม่ใช่ ไม่ได้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของพรรคเขา
ป.ประยุทธ์ ก็แค่ “ดารารับเชิญ” เฉพาะกิจ ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคเช่นกัน!
สรุปแล้ว ในความเป็นพรรคพลังประชารัฐ
“รอ.ธรรมนัส” ที่นายกฯ ปลดจากรมช.เกษตรฯ มีสัดส่วนอำนาจในพรรคโดยตรงมากกว่า เพราะเป็นถึง “เลขาธิการพรรค”
ในขณะที่ ๒ ป.แค่ผู้ถือหุ้นปุริมสิทธิ์
ไม่มีอำนาจ ไม่มีสิทธิ-มีเสียงใดๆ ในพรรคเลย!
เออ…มันก็น่าคิด เหมือนไม่มีสร้อย-ไม่มีนาฬิกา แล้วจะเอาอะไรไปวางเดิมพันในตา “วัดดวง” กับเขาล่ะ?
ยิ่งยุแยงกันจัง …….
ว่าตอนนี้ “พี่ใหญ่” กำลังกินใจกับ “น้องเล็ก” ที่หักหน้า ปลด “ธรรมนัส-นฤมล” แต่ไม่ถาม-ไม่บอกซักคำ
“ปลดแล้ว” จึงบอก …
แบบนี้ น้องยังเห็นพี่อยู่ในสายตาหรือ?
เมื่อน้อง “คนนอกพรรค” หักหน้าพี่ ในขณะที่พี่เป็นหัวหน้า ธรรมนัส เป็นเลขาฯ จะให้พี่บอกธรรมนัสว่า “พี่ไม่รู้” นั้นบอกได้ แต่ที่จะให้เขาเชื่อ คงไม่แล้ว
นี่ มองกันว่า ป.ป้อมกับป.ประยุทธ์ จะเป็นป.แปรในสัมพันธ์กัน ก็ตรงนี้
แต่ผมกลับมองอีกด้านว่า เพราะนายกฯ รักลุงป้อมมาก หรอก ไม่ต้องการสร้างความยุ่งยากลำบากใจให้กับลุงป้อมในเรื่องนี้
ถ้าบอกก่อน เมื่อธรรมนัสถาม ลุงป้อมจะบอกไม่รู้ เท่ากับโกหก ไม่จริงใจกับธรรมนัส
ถ้าบอกรู้ ธรรมนัสก็ต้องกินใจ ว่าลุงป้อมขยิบตาให้นายกฯฆ่า!
ดังนั้น ปลดแล้วค่อยบอก จึงไม่ใช่ “ไม่เห็นหัว” พี่ใหญ่ หากแต่ไม่ต้องการให้ลุงป้อม “ลำบากใจ”
หวังเซฟลุงป้อมจากครหา “ไม่ปกป้อง” ลูกน้องในพรรคนั่นแหละ
เรื่องนี้ แค่หนังหัวม้วน
เดือนหน้า นั่นแหละ “จอตุงไป-ตุงมา” รีบจองตั๋วเถอะ!