ผักกาดหอม
เข้าสู่วันที่สาม
กลัวเรตติงตกหรือเปล่าไม่ทราบได้
ฝ่ายค้านหยาบคายน้อยลง ผลิตวาทกรรมแดกดันน้อยกว่าสองวันแรก
Hate Speech ก็ไม่ค่อยมีให้เห็นสักเท่าไหร่
แต่…ก็ยังมีเรื่องงามไส้
นั่งเฝ้าหน้าจอต้องเกาหัวแกรกๆ เพราะทั่นผู้แทนฝ่ายแค้นประเคนเฟกนิวส์กลางสภา
เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร?
“นิคม บุญวิเศษ” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังปวงชนไทย อภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ อ้างว่ามีการปิดหูปิดตาประชาชน เรื่องตำรวจทุบรถม็อบ ๓ นิ้ว
ท้าพิสูจน์กลางสภาว่าเป็นเรื่องจริง ที่สื่อหลักของรัฐบาลไม่เคยนำเสนอ หลักฐานได้มาเพราะ ประชาชนเขาส่งให้ดูกันเอง
“สื่อภาครัฐเสนอข่าวไม่ครบทุกมิติ แต่ประชาชนฉลาดเพราะมีช่องทางสื่อสารมากมาย ก็ยังไปปิดเขาอีก”
ว่าแล้วก็สั่ง เจ้าหน้าที่รัฐสภาเปิดคลิปประกอบการอภิปราย
คลิปที่ว่า เป็นเหตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชนรายหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมใช้กระบองทุบไปที่รถยนต์คันหนึ่งของประชาชนจนกระจกหน้ารถร้าวเกือบแตก
แต่คลิปเป็นเหตุการณ์การชุมนุมของกลุ่ม กปปส. เมื่อปี ๒๕๕๗
นี่หรือคือหลักฐานการอภิปรายไม่ไว้วางใจ
มุมหนึ่งอาจดูเป็นเรื่องตลกขบขัน
แต่อีกมุมสะท้อนคุณภาพนักการเมืองไทย
ไร้คุณภาพอย่างสิ้นเชิง
ที่ด่านายกฯ ว่า ไม่รู้จักดู ไม่รู้จักคิด ไม่รู้จักทำ ภูมิปัญญาไม่มี ไร้ความรู้ ประชาชนก็ดูเอา
ครับ…นั่นแค่น้ำจิ้ม
เรื่องใหญ่วานนี้คือ คำอภิปรายของ “วิสาร เตชะธีราวัฒน์” ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่ามีการแจกเงิน
“ขณะนี้นายกฯ กำลังจ่ายเงินให้ ส.ส. ๕ ล้านบาทที่ชั้น ๓ การทำแบบนี้อุกอาจมาก เป็นการทุจริต ต้องการอยู่ในตำแหน่งถึงขนาดนี้เลยหรือ
ส.ส.ไปรับเงินที่ห้องนายกฯ ๕ ล้านบาท เป็นไปได้อย่างไรที่ประเทศไทยจะอยู่กับความตายของประชาชน หน้าไม่อาย ถึงเวลาแล้วที่วิญญาณทั้งหลายจะต้องสาปแช่ง ทำอย่างนี้ได้อย่างไร ในสภาจ่ายเงิน”
“วิสาร เตชะธีราวัฒน์” เป็นใคร?
คือ ส.ส.ที่ผู้สื่อข่าวประจำรัฐสภา ตั้งฉายา “ดาวดับแห่งปี” เมื่อปีที่แล้ว
เหตุผลประกอบที่ผู้สื่อข่าวรัฐสภาหยิบยกคือ…
“เป็นผลมาจากเหตุการณ์ใช้มีดปอกผลไม้กรีดแขนกลางที่ประชุมสภา เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาทางการเมือง ถือเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเพราะเป็นการชี้นำให้ใช้ความรุนแรงแก้ไขปัญหา
อีกทั้งยังเป็น ส.ส.หลายสมัยและดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีมาก่อน สมควรเป็นแบบอย่างที่ดี แต่กลับแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเพื่อหวังผลทางการเมือง จึงหวังว่าตำแหน่งดาวดับที่สื่อมวลชนมอบให้จะทำให้ไม่เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้อีก”
ฉะนั้นในแง่เครดิต ก็ฟังหูไว้หู
อย่าเพิ่งปักใจเชื่อ
แต่มีความเคลื่อนไหวผิดปกติในพรรคพลังประชารัฐจริง
เสือหิวช่วงอภิปรายไม่ไว้วางใจก็เป็นเรื่องจริง
และครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก
โฟกัสไปที่ “ธรรมนัส พรหมเผ่า” มีข่าวปีนเกลียวกับนายกฯ
ข้อเท็จจริงอย่างไร ไม่ทราบได้
แต่การแถลงข่าวของ “ธรรมนัส” เป็นเรื่องใหญ่พอควร
“ข่าวลือที่ออกมาว่าผมจะทำอันนู้นอันนี้ ไม่เป็นความจริง และมีข่าวที่ได้ยินมาจาก ส.ส.ที่โทรศัพท์มาหาว่ามีหัวหน้าพรรคการเมืองพรรคเล็กคนหนึ่งเสนอรับเงิน ๑๐ ล้านบาท เพื่อต่างตอบแทน
และร้ายไปกว่านั้นมีรัฐมนตรีในพรรคพลังประชารัฐรับงานมาล็อบบี้ ส.ส.พรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคพลังประชารัฐ ในการโหวตสนับสนุนใครคนใดคนหนึ่ง ต้องถามว่าคนเป็นรัฐมนตรีสมควรทำอย่างนั้นหรือไม่ เพราะควรเห็นแก่ประโยชน์ของชาติบ้านเมือง
ไม่ต้องใคร ๔ ช.ที่ว่ากัน ฝากไปบอกเขาด้วยว่า ทำอะไรเพื่อบ้านเพื่อเมืองบ้าง อย่าเห็นผลประโยชน์ส่วนตัว นี่คือคำตอบของผม”
“ขบวนการมีหรือไม่มีต้องไปถามคนเต้าข่าวว่าต้องการอะไรแน่ คนเต้าข่าวไม่ใช่ฝ่ายค้าน พรรคฝ่ายรัฐบาล ไอ้ห้อยไอ้โหนทั้งหลาย ชอบเลียแข้งเลียขา สำเหนียกซะบ้าง
ผมรู้หมดแล้ว บางคนบันทึกเทปไว้หมดแล้ว ระวัง เดี๋ยวเจอกัน”
แบบนี้ไม่ต้องเดาครับ
สถานการณ์ของพรรคพลังประชารัฐไม่ปกติจริงๆ
กำลังมีปัญหา
พรรคนี้ไม่ได้เป็นเนื้อเดียวกัน ซึ่งเป็นธรรมดาเพราะที่มาของแต่ละกลุ่มตั้งแต่การก่อตั้งพรรคนั้นแตกต่างกัน
ไม่รู้ว่า “ธรรมนัส” ปีนเกลียวกับนายกฯ หรือไม่
แต่คำพูดของ “ธรรมนัส” ถูกตีความไปไกลพอควร
“ผมยืนยันว่าผมไม่คุยกับนายกฯ แต่ผมคุยกับรองนายกฯ ที่เป็นหัวหน้าพรรคผม เมื่อตอนกลางวันผมก็เพิ่งไปทานข้าวกับรองนายกฯ มา”
ที่จริงก็ถูกของ “ธรรมมัส”
เพราะ “ลุงป้อม” เป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ
ลูกพรรคมีปัญหา ก็ต้องคุยกับหัวหน้าพรรค
ส่วน “ลุงตู่” เป็นนายกฯ
ไม่ใช่คนของพรรคพลังประชารัฐ
เมื่อมีปัญหาในพรรคก็ต้องคุยกับหัวหน้าพรรค
เพียงแต่ การวิ่งล็อบบี้โหวตเสียงอภิปรายไม่ไว้วางใจ เป็นเรื่องของพรรค หรือ รัฐบาล กันแน่
ส.ส.เสือหิว เสือโหยมีแน่ และมีมาทุกยุคทุกสมัย พวกนี้จ้องตบทรัพย์ตามฤดูกาล
วิธีการที่ใช้คือปล่อยข่าวพรรคโน้นให้มากกว่า ทำไมพรรคตัวเองให้น้อยกว่า
นี่คือสันดานที่แก้ไม่เคยหาย
ครับ…”ลุงตู่” ลุกขึ้นตอบเรื่องเงิน ๕ ล้าน
“คงไม่ตอบอะไรนะครับ เมื่อกี้ที่มีการกล่าวอ้างมาต่างๆ แล้วมีข่าวว่ามีคนมาพบผมอะไรอย่างนี้ ผมไม่ใช่คนแบบนั้น ทุกคนมาทักทาย เพราะผมไม่ค่อยได้เจอเขา ก็มาคารวะ มาเป็นกำลังใจให้นายกฯ
ผมไม่ทำบ้าๆ บอๆ แบบนั้น ไม่ทำถุงขนมอยู่แล้ว ขอบคุณครับ สวัสดีครับ”
ยุคนี้ต้องตามนักการเมืองให้ทันครับ เพราะเขาทำงานกันเป็นทีม ไม่ได้แยกฝ่ายค้านหรือรัฐบาล แต่จำแนกตามพื้นเพ
คนของระบอบทักษิณเข้ามาอยู่ในพลังประชารัฐก็เยอะ ยังอยู่ในเพื่อไทยก็เพียบ
กองเชียร์มองว่าเป็นคนละพวก
แต่ ส.ส.เขาไม่คิดแบบนั้นครับ
พวกกันทั้งนั้น.