สัสสส……”!
ต้องบอกว่า “บัดซบมาก”
ตอนศาลให้โอกาสแก้ข้อกล่าวหา ถามอะไรก็ตอบแต่ว่า “ผมจำไม่ได้..ผมจำไม่ได้”
แต่พอศาลตัดสินว่าถือหุ้นสื่อ “ผิด” ต้องพ้นสภาพสส.
ความจำคืนกะโหลกทันที!?
แร่ๆ ออกมาโต้แย้งลักษณะหมิ่นแคลนคำตัดสินศาล ถึงขั้นใช้คำพูดว่า
“…….ผู้พิพากษาศาลทุกท่าน ไม่เคยเป็นธุรกิจ-นักลงทุน จะใช้คำว่าโครงการไหนน่าลงทุนหรือไม่ คงไม่ถูกต้องนัก”
“……..เหตุผลที่ศาลยกขึ้นมาวินิจฉัยให้สมาชิกภาพ ส.ส.ของผมสิ้นสุดลง ล้วนเป็นข้อสันนิษฐาน
ไม่มีข้อเท็จจริงที่เป็นวิทยาศาสตร์มาหักล้างเอกสารหลักฐานที่เรานำเสนอ
ศาลให้น้ำหนักกับข้อสันนิษฐานมากกว่าข้อเท็จจริง ทั้งที่มีข้อเท็จจริงปรากฏเป็นเอกสารหลายข้อ
แต่ศาลกลับให้น้ำหนักกับข้อสันนิษฐานมากกว่า”
ครับ ผมเชื่อว่า….
ท่านที่อยู่หน้าจอโทรทัศน์ ช่อง ๒๒ เนชั่น ที่ถ่ายทอดสดจากศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวาน (๒๐ พย.๖๒)
คงได้ยิน-ได้เห็นอหังการ “ธนาธร ผู้มีลิเกอยู่ในหัวใจ” กันแล้ว
เรียกว่า จากนาทีนี้เป็นต้นไป
ไม่มีหน้าอินทร์-หน้าพรหมต้องยำเกรง ไม่มีหน้ายม-หน้ายักษ์ต้องแคร์
ธรพร้อมชน “ทุกรูปแบบ”!
คดีถือครองหุ้นสื่อ ต้องบอกว่า เป็นอีกคดีที่คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาไต่สวน ละเอียด เคร่งครัด รอบด้าน
ทั้งให้โอกาส ทั้งให้เวลาฝ่ายผู้ถูกร้อง คือธนาธร ทุกขั้นตอน
จนใช้เวลายาวนาน “ครึ่งปี” ……
กว่าจะมีคำวินิจฉัยออกมาเมื่อวาน ท่ามกลางเสียงค่อนขอดทางสังคมว่า “นานเกิน”
ทั้งที่ คดีนี้ เป็นประเด็นข้อกฎหมาย ซึ่งเอกสารหลักฐานทางราชการเป็นตัวบ่งชี้ได้โดยตรง
แต่ทางศาลฯ ยังให้ความสำคัญกับพยานบุคคล พยานวัตถุ เอกสารหลักฐานแวดล้อม และปากคำจากทางฝั่งผู้ถูกร้องเต็มที่ เพื่อพิสูจน์ด้านข้อเท็จจริง ทุกแง่มุม
ถึงขั้นธนาธรเองต้องออกปากเชิงต่อรองกับศาลขณะไต่สวนฯว่า ถ้าตัดสินเป็นคุณกับเขา
เขาจะไปทำ “บลายด์ ทรัสต์”!
แต่ปรากฏว่า เมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยด้วยมติเสียงข้างมาก ๗:๒ เมื่้อวาน
ว่าธรยังถือหุ้นสื่ออยู่ ขณะยื่นสมัครรับเลือกตั้งเป็นสส.เข้าลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ เป็นเหตุให้สมาชิกภาพสส.ของธรต้องสิ้นสุดลง ตั้งแต่ ๒๓ พค.๖๒
“ธร-ผู้มียี่เกอยู่ในหัวใจ” เปลี่ยนจากบทพระเอกเป็นบทตัวโกง กระทืบเท้า เป่าปาก ใส่ศาลรัฐธรรมนูญทันที
ธรโต้แย้งข้อกล่าวหาไว้ระหว่างศาลไต่สวนอย่างไร ธรก็นั่งฟังศาลอ่านคำวินิจฉัยกะหูแล้วมิใช่หรือ?
ย่อมเห็นว่า ศาลท่านยกคำโต้แย้ง ๓ ประเด็นหลักของธรเป็นเชิงโจทย์
แล้วมีคำพิจารณาวินิจฉัยแก้โจทย์ของธรนั้นให้ฟัง ทั้งแง่กฎหมาย แง่ข้อเท็จจริง ครบถ้วนทุกกระบวนความ
ศาลท่านใช้เวลากว่าชั่วโมงในการอ่านคำวินิจฉัย แสดงว่า ทุกประเด็น ศาลท่านแจกแจงถึงที่มา-ที่ไปด้านข้อเท็จจริงให้ทราบละเอียดยิบ ก่อนจะออกเป็นมติ
ไม่ใช่ศาล “สันนิษฐาน” เอาเอง อย่างที่ธรจ้วงจาบ!
ประชาชนหน้าจอ ช่อง ๒๒ เนชั่น ประชาชนหน้าบัลลังก์ศาล มีทั้งตัวแทนประเทศยุโรป-สหรัฐ และทั้งตัวธนาธรเอง
เมื่อฟังตาม ตรองตามด้วยเหตุ-ด้วยผล…..
ถ้ามีความเป็นธรรมอยู่ในหัวใจ ด้วยความเป็นมนุษย์ คือ ผู้มีใจฝึกแล้วประเสริฐ
จะต้องบอกตัวเองได้ว่า……..
ถึงแล้ว ชอบแล้ว ดุจหงายจานที่คว่ำให้หงาย เป็นคำวินิจฉัยที่ ยุติแล้ว โดยธรรม!
ไม่เชื่อตามที่ผมพูด ให้ทุกท่านไปหาคำวินิจฉัยฉบับเต็มอ่านดูได้ อ่านเที่ยวแรกยังไม่เข้าใจ ตั้งสติ แล้วค่อยๆ อ่าน ทำความเข้าใจไปแต่บรรทัดคำอีกเที่ยว
แล้วท่านจะรับรู้ได้ถึงความ “ชอบแล้ว” ในคำวินิจฉัย
หาที่ไหนอ่านไม่ได้ ก็ในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์นี่แหละ หนังสือพิมพ์เขาดีนะ
แต่ตอนนี้ ขายไม่ค่อยดี
เพราะแฟนๆ หนีไปอ่านเว็บกันหมด (แฮ่ะๆ ขอขมวดหางยกหูตัวเองหน่อย)
ถึงสิ้นสภาพสส.แต่ดูเหมือนธรก็ไม่แยแสซักเท่าไหร่ เขาประกาศว่า ยังเป็นหัวหน้าพรรค ยังมีเป้าหมายการเมืองพุ่งชนเยอะแยะ
ที่สำคัญ เขาย้ำ เขายังเป็น “ว่าที่นายกรัฐมนตรี” ของพรรคอยู่!
ก็ดี……
เป็นคนมันต้องมีความหวัง คนตายเท่านั้น ที่ไม่มีความหวัง
แต่ อ้อ…มีอีกคน ที่ไม่มีหวังอะไรเลย
คือ “ไอ้หวัง” ไงล่ะ
เพราะมันตายแน่ไปแล้ว!
เมื่อวาน พลันศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่าธนาธรสิ้นสภาพสส.
สมาชิกรัฐสภาอาเซียนเพื่อสิทธิมนุษยชน (Asean Parliamentarians for Human Rights : APHR)
สำนักงานที่จาการ์ตา อินโดนีเซีย
ออกแถลงการประณามคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญทันที
เรียกร้องให้หยุดนำกฎหมายมาเป็นเครื่องมือกลั่นแกล้งสมาชิกพรรคฝ่ายค้านและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในไทย
ลงท้ายแถลงการณ์ด้วยข้อความว่า…….
“สมาชิกรัฐสภากำลังถูกไล่ล่าและจำคุกเพียงเพราะทำงานเพื่อตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจบริหาร
และนี่เป็นภยันตรายต่อทุกคน
ในฐานะสมาชิกรัฐสภาด้วยกัน เราจะดำเนินการสนับสนุนในทุกระดับต่อไป
เพื่อให้แน่ใจว่าเพื่อนร่วมงานของเราในระดับภูมิภาคสามารถทำงานโดยปราศจากความกลัวและการถูกโต้กลับ”
ขอโทษ…………
ผมด่าเป็นภาษาสากลไม่เป็น
ขอใช้คำไทยๆ คำเดียว
ถุ้ย…..!
เถื่อน ต่ำทราม รัฐสภาเป็นสถานที่ออกกฎหมาย ไม่ใช่ที่ปั๊มเงินตราสกุลสิทธิมนุษยชน จนไม่รู้จักให้เกียรติสถาบันปั๊มกฎหมายของตัวเอง
อีกอย่าง “กฎบัตรอาเซียน” ที่สมาชิกรัฐสภาอาเซียนเพื่อสิทธิมนุษยชน ไม่น่าใช่ควาย ควรจะรู้ เพื่อไม่ต้องแกว่งปากหาเท้าเช่นนี้
ส่วนหนึ่งใน ๑๔ ข้อ ที่ควรรู้ ควรตระหนัก ก็เช่น
ข้อที่ ๑.เคารพเอกราช อธิปไตย ความเสมอภาค บูรณภาพแห่งดินแดน และอัตลักษณ์แห่งชาติ ของรัฐสมาชิกอาเซียนทั้งปวง
ข้อที่ ๕.ไม่แทรกแซงกิจการภายในของรัฐสมาชิกอาเซียน
ข้อที่ ๖.เคารพสิทธิของรัฐสมาชิกทุกรัฐในการธำรงประชาชาติของตนโดยปราศจากการแทรกแซง การบ่อนทำลาย และการบังคับจากภายนอก
ข้อที่ ๘.ยึดมั่นต่อหลักนิติธรรม ธรรมาภิบาล หลักการประชาธิปไตยและรัฐบาลตามรัฐธรรมนูญ
ข้อที่ ๑๑.ละเว้นการมีส่วนร่วมในการคุกคามอธิปไตย
บูรณภาพแห่งดินแดนหรือเสถียรภาพทางการเมือง และเศรษฐกิจของรัฐสมาชิกอาเซียน
แต่พอรู้ว่า ใครเป็นประธาน APHR
ก็ไม่แปลกใจ ที่เห็นรีบร้อนแถลงทะลุง่ามเท้าอุ้มธนาธร เพราะประธาน APHR คือ นายชาร์ลส์ ซานติเอโก สมาชิกจากรัฐสลังงอร์ มาเลเซีย
มาเลย์ฯ เพื่อนบ้านชานเรือนติดกันกับ ๓ จังหวัดใต้ของเรานั่นแหละ
เพื่อนเรา (ต่อหน้า) ยังไงๆ คงไม่เผาเรือน (ลับหลัง) จริงมั้ย!?
พูดกันแฟรงค์ๆ แฟร์ๆ เลยนะ
ขนาดผมนั่งเฝ้าหน้าจอ ยังต้องรอนักข่าวแกะเทปคำวินิจฉัยเป็นชั่วโมง
เพื่อนำมาอ่านทบทวนให้เข้าถึงความถูกต้องตามแต่ละคำวินิจฉัยของศาลก่อนสรุปเป็นความเข้าใจก่อนมีทัศนะ
แต่สมาชิก APHR อยู่อินโดฯ นู่น แถมทั้งฟัง-ทั้งอ่านภาษาไทยไม่ออก
ปรากฏว่า จบคำวินิจฉัยปุ๊บ สมาชิกรัฐสภาอาเซียนฯ เข้าใจเรื่องราวและกระบวนความตายกฎหมายไทยแจ่มแจ้ง
ออกแถลงการณ์ประณามคำตัดสินศาลรัฐธรรมนูญของไทยชนิดสาดเสีย-เทเสีย
แถมผูกโยงลามปามไปถึงรัฐบาลและกองทัพ!
แบบนี้ ประธานรัฐสภาไทย ถึงแม้ไม่มีสมาชิกสภาของเราคนไหนไปเป็นสมาชิก ก็ควรที่จะทำอย่างใด-อย่างหนึ่ง แทนนิ่งเฉย
ไอ้แก๊ง APHR นี้ ไม่มีอะไรมาก แค่ขยะ……..
มุ่งใช้คำว่าสิทธิมนุษยชนเป็นธุรกิจการเมือง ทั้งนักการเมืองและไม่นัก แต่ขวักไขว่ ใครก็ไปสมัครร่วมแก๊งได้
เมื่อตอนศาลสั่งพักการปฏิบัติหน้าที่ มันออกมาโจมตีศาลรัฐธรรมนูญทีหนึ่งแล้ว แต่ครั้งนี้ หยาบช้าหมาไม่แดก
มันไม่สนใจข้อเท็จจริง….
แทรกแซง ก้าวก่าย ใช้คำว่ารัฐสภาอาเซียนพรางตาให้คนใจผิดว่า นี่เป็นส่วนหนึ่งของ ๑๐ ชาติอาเซียน
ความจริงไม่ใช่ แค่แก๊งธุรกิจสิทธิมนุษยชนกินได้ ขี้กะโล้โท้ เขี่ยทิ้งไป อย่าให้ความสำคัญกับมัน
ส่วนเรื่องเมื่อพ้นสภาพสส.แล้ว จะยังไงต่อไป?
กลับไปอ่าน คู่มือ ฉบับ “คุกและยุบพรรค” ที่ผมเขียนเมื่อวาน เจ็บคอ ที่ต้องเขียนกันทุกวัน
คือ ผลจากคำตัดสิน เมื่อธรรู้อยู่ว่าตัวเองขาดคุณสมบัติยังดันทุรังไปสมัครรับเลือกตั้ง
ก็เข้าตามมาตรา ๑๕๑ ของพรป.การเลือกตั้ง
“ผู้ใดรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเนื่องจากขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้สมัครรับเลือกตั้ง หรือทําหนังสือยินยอมให้พรรคการเมือง เสนอรายชื่อเพื่อสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ
ต้องระวางโทษจําคุก ตั้งแต่ ๑ ปี ถึง ๑๐ ปี
และปรับตั้งแต่ ๒ หมื่นบาท ถึง ๒ แสนบาท
และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้น
มีกําหนด ๒๐ ปี
ในกรณีที่ผู้กระทําความผิดตามวรรคหนึ่ง เป็นผู้ซึ่งได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
ให้ศาลมีคําสั่งให้ผู้นั้น
คืนเงินประจําตําแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นที่ได้รับมาเนื่องจากการดํารงตําแหน่งดังกล่าว ให้แก่สํานักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรด้วย”
กกต.ต้มน้ำร้อน ชงชา เตรียมยื่นฟ้องต่อศาลฎีกา ให้ที่ประชุมใหญ่พิพากษาอย่างใด-อย่างหนึ่งแล้วกระมัง
ชาดี ต้องค่อยๆ ริน ค่อยซด
ถึงจะกำซาบทรวง.
คนเราเมื่อเกิดมาในกองเงินกองทองและคนจีนจะรักลูกชายมากกว่าลูกสาว.. เพราะเป็นผู้สืบสกุล..
จึงเลี้ยงลูกอย่างกับราชาอยากได้อะไรก็ประเคนให้.. จึงทำให้ลูกเหลิงจนเสียคน, เอาแต่ใจตนเอง..
#นี่แหละพ่อแม่รังแกฉัน.. ก้าวต่อไปก็คงเป็นคุกหรือช่องทางธรรมชาตินะครับ..