รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผย 16 วัน โรงพยาบาลบุษราคัม รักษาผู้ป่วยกลุ่มสีเหลืองอาการเล็กน้อยถึงปานกลาง 1,154 ราย รักษาหายกลับบ้านได้แล้ว 325 ราย ช่วยคลี่คลายการขาดแคลนเตียง เพื่อรักษาผู้ป่วยอาการหนักในโรงพยาบาลในพื้นที่ กทม.
30 พฤษภาคม 2564 ที่โรงพยาบาลบุษราคัม ที่อาคารอิมแพ็คชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี จ.นนทบุรี
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย และผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลบุษราคัม พร้อมให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติงาน โดยกล่าวว่า โรงพยาบาลบุษราคัมให้การดูแลรักษาผู้ป่วยโควิดโดยเฉพาะ และมีอัตราการครองเตียงมากกว่าร้อยละ 70
จากที่ได้ขยายพื้นที่ระยะที่ 2 ทำให้มีเตียงรวมทั้งสิ้น 2,159 เตียง ซึ่งตลอด 16 วันที่ผ่านมา ตั้งแต่วันที่ 14 – 29 พฤษภาคม 2564 มีผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษา ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยวันละ 72 ราย มีผู้ป่วยสะสม 1,154 ราย รักษาหายกลับบ้านแล้ว 325 ราย อยู่ระหว่างการรักษา 780 ราย
โดยผู้ป่วยที่มีอาการหนักได้ส่งต่อไปรักษาในโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุข เครือข่ายโรงเรียนแพทย์ และกรมการแพทย์ แล้วจำนวน 49 ราย เป็นการช่วยคลี่คลายการขาดแคลนเตียง และช่วยให้โรงพยาบาลขนาดใหญ่ในเขตกทม. ดูแลรักษาผู้ป่วยอาการหนักได้อย่างเต็มที่
นายอนุทิน กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ทีมสุขภาพจิตเอ็มแคท (MCATT) ได้มีการเฝ้าระวังประเมินสุขภาพจิตในผู้ป่วยที่เข้ามารับการรักษา เพื่อประเมินสถานการณ์ สภาพปัญหาผลกระทบทางจิตใจ นำไปวางแผนการดูแลอย่างเหมาะสม
โดยตั้งแต่วันที่ 14 – 29 พฤษภาคม 2564 พบผู้ป่วยมีอาการนอนไม่หลับ วิตกกังวล เนื่องจากต้องมีการปรับตัว และมีความเป็นห่วงบุคคลในครอบครัว โดยเฉพาะผู้ที่มีการติดเชื้อในครอบครัว บางรายต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักจากการติดเชื้อ จึงทำให้เกิดความเครียด ทางทีมสุขภาพจิตจึงได้เฝ้าระวังและดูแลให้คำปรึกษา ส่วนผู้ป่วยที่มีประวัติจิตเวช 2 ราย ได้รับการดูแลจนแพทย์อนุญาตให้กลับบ้านได้ 1 ราย และส่งต่อรักษาตามอาการอีก 1 ราย
“การทำงานของบุคลากรที่โรงพยาบาลบุษราคัมหรือในโรงพยาบาลสนามทุกพื้นที่ เป็นการทำงานที่ไม่เหมือนกับงานประจำในโรงพยาบาล ขอขอบคุณและส่งกำลังใจให้ทุกๆ คน ขอให้ศึกษาเรียนรู้ระบบงานการประสานงาน และแบ่งปันข้อมูลความรู้ซึ่งกันและกัน ถือเป็นประสบการณ์สำคัญ สามารถนำไปต่อยอดพัฒนาสร้างประโยชน์ให้แก่การทำงานด้านการแพทย์และสาธารสุขต่อไปในอนาคตได้” นายอนุทิน กล่าว