ผสมโรง
สันต์ สะตอแมน
ก็พอจะเข้าใจอยู่นะ..
ผมหมายถึงดารา-นักร้องบางคน ย้ำว่า “บางคน” ที่หัวร้อน-สติแตก บ่น-ด่า-กระแนะกระแหน-เสียดสีรัฐบาล-ศบค. จากการระบาดของ “โควิด-19” รอบใหม่!
คือ..เข้าใจเขา-เธอเคยสะดวก สุขสบาย กินอิ่ม นอนหลับ ว่าง-พักจากงานแสดง งานร้องเพลง งานโชว์ตัว ก็สังสรรค์สรวญเสเฮฮา..
หรือไม่ก็เพลิดเพลินสุขใจกับการถ่ายภาพ อวดแคม โชว์เต้า ลงไอจี ให้คนติดตามได้ชม-ได้จินตนาการและ “กดไลค์” ซึ่งเป็นอีกหนึ่งช่องทางรายได้ที่นิยมกัน!
แต่จู่ๆ สิ่งเหล่านั้นได้มลายหายไป กลายเป็นความทุกข์ ความลำบาก ความอึดอัดคัดข้องของการดำเนินชีวิตมาแทน จึงเลยเกิดความคับแค้นแน่นอุรา และได้ระบายกันออกมาอย่างที่ได้ยิน–ได้อ่าน
ซึ่งอารมณ์หนึ่งก็ให้นึกสงสาร-เห็นใจ แต่อีกอารมณ์ ก็ให้รู้สึกสมเพช..เสพสุขเสียจนเคยชินพอต้องพบทุกข์-เผชิญวิกฤติเข้าหน่อยก็ทำใจ-ปรับตัวไม่ได้..
จากภาพ “นางเอก” เลยเป็น “นางร้าย” ในชีวิตจริง!
ส่วนรายนี้ คุณศรีสุวรรณ จรรยา ไม่ว่าสถานการณ์บ้านเมือง-สังคมจะเป็นอย่างไร ก็ยังคงทำหน้าที่ “นักร้อง(เรียน)” อยู่อย่างคงเส้นคงวา
ล่าสุด..ไปร้องเรียนต่อ กสทช. ให้ดำเนินการตรวจสอบและวินิจฉัยกรณี คุณสรยุทธ สุทัศนะจินดา ที่เตรียมกลับมาเป็นพิธีกรข่าวรายการ “เรื่องเล่าเช้านี้”
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้าไปร้องเรียนคุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก..“ประเทศไทย จำต้องอยู่แบบเงียบๆ เจียมเนื้อ เจียมตัว นักร้องเมืองไทยมันเยอะ
ร้องไปได้ทุกเรื่อง แม้แต่หมากัดกันคงร้อง แสงตัวเองไม่มี ต้องอาศัยแสงคนอื่น สมัยนี้เรียก “พวกหิวแสง อยากเรียกกระแส”
สรยุทธออกข่าว กลับมาเป็นกรรมกรข่าวเหมือนเดิม ไม่ทราบว่าทำให้ใครเดือดร้อน? ในเมื่อศาลพิพากษาว่าผิดให้จำคุก ไม่ได้ตัดสินห้ามเขาประกอบอาชีพตลอดชีวิต
อาชีพสื่อไม่ได้กินเงินเดือนจากภาษีประชาชน ถ้าคนดูเขาเห็นว่าไม่เหมาะสมเขาก็ไม่ดู แค่กดรีโมท เปลี่ยนช่อง..
การไปทำในสิ่งที่เป็นอาชีพสุจริต ที่เคยทำมาทั้งชีวิต มันไปหนักกระบาลใครไม่ทราบ?”
นั่นสิ..ผมก็ว่าการกลับมา “เล่าข่าว” ของคุณสรยุทธ์มันไม่เห็นจะหนักกระบาลใครไม่ว่าจะคุณศรีสุวรรณ คุณชูวิทย์ หรือผม
และการที่คุณศรีสุวรรณไปร้องเรียน มันก็ไม่ได้หนักกระบาลผมอีกเช่นกัน หรือกระทั่งข้อความที่คุณชูวิทย์โพสต์ ผมก็ไม่ได้หนักกระบาล แต่มีบางประเด็นที่อยาก (เสือก) คุยด้วย
คุณชูวิทย์..อดีตมีอาชีพเป็นเจ้าของสถานอาบอบนวด ที่ใครจะลงอ่างก็ลง ไม่ลงก็ผ่านเลยไป เจ้าของหรือหมอนวดจะดี-ไม่ดี ไม่มีใครเดือดร้อน (นอกจากคนเที่ยว)
ต่างกับ “อาชีพสื่อ” แม้จะไม่กินเงินเดือนจากภาษีประชาชน แต่หากเจ้าของสื่อหรือนักข่าว-พิธีกรประพฤติปฏิบัติตัวไม่ดี ไม่ซื่อสัตย์สุจริต ไม่มีคุณธรรม-จริยธรรม ไม่มีจรรยาบรรณ
เมื่อคนเขาดูเห็น การกดรีโมทเปลี่ยนช่องก็วิธีหนึ่ง แต่เขามีสิทธิ์เช่นที่คุณศรีสุวรรณมี ที่จะเรียกร้อง-ทักท้วงต่อเจ้าของ-พิธีกร-นักข่าว..
ด้วยสื่อเป็นองค์กรที่ให้โทษ-ให้คุณกับสังคมต่างจากอาบอบนวด!
“การไปทำในสิ่งที่เป็นอาชีพสุจริตที่เคยทำมาทั้งชีวิต”..นี่คุณชูวิทย์เขียนขณะสติ-สตังยังสมบูรณ์ดีอยู่ใช่มั้ย? แต่ไม่เป็นไรจะสมบูรณ์-ไม่สมบูรณ์ ก็ ..
ไม่ได้หนักกระบาลผมอีกแหละ!