เปลว สีเงิน
จบในสภา ….
ต่อด้วยแก๊ง “สามนิ้ว” กวนเมืองนอกสภา!
“ให้ราคา” ก็เป็นเรื่อง
“ไม่ให้ราคา” ก็เป็นขยะ พอใจอย่างไหนเลือกเอา คนไทยเลือกได้อยู่แล้ว
การ “อภิปรายไม่ไว้วางใจ” จบไปแล้วเมื่อคืน จะโหวตกันเช้าเสาร์ที่ ๒๐ กุมภา. คือ วันนี้
๑๐ รัฐมนตรีที่ถูกซักฟอก ก็มี
-พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ
-พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ
-พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย
-นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รมว.พาณิชย์
-นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาฯ
-นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม
-นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน
-นายนิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย
-รอ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรฯ -นายอนุทิน ชาญวีรกูล รม.สาธารณสุข
รัฐบาลมีเสียงทั้งหมด ๒๗๐ กว่าเสียง โหวตเช้านี้ ก็ดูเอา ใครสอบได้-สอบตก
ยังไงก็ “สอบผ่าน” ทั้ง ๑๐ รัฐมนตรีนั่นแหละ ที่จะลุ้นกันก็ตรงว่า ใครจะได้มาก-ได้น้อย เท่านั้น
การอภิปรายนี้ จะนำไปสู่การปรับครม.มั้ย?
ถามก่อน นายกฯ อยากปรับมั้ย ลึกๆ แล้ว ผมว่า “อยาก”
แต่ “ไม่กล้า” หรอก!
จะกล้าได้งั้ย เป็นนายกฯ-เป็นรัฐบาลอยู่ ก็อาศัยพรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย พี่ใหญ่-พี่รอง เป็นเสาเรือนค้ำ
ถ้าไปเขยื้อนใครซักคน แค่เขาชักเสาหนีซักต้น รัฐบาลก็พังแล้ว
แม้กับพรรค “พลังประชารัฐ” ตัวเองก็เถอะ หนึ่งพรรค “ร้อยมุ้ง” ลองเอาใครเข้า-ใครออกตามใจชอบดูซี
นายกฯ ก็นายกฯ เถอะ….
“กูอยู่ไม่ได้ มึงก็อยู่ไม่ได้” อย่าไปนึกว่าใครจะเห็นหัว
การเมืองไม่ป่าเถื่อน….
แต่ “ประชาธิปไตย” ตีกรอบรัฐบาลระบบเลือกตั้ง ต้องป่าเถื่อนซ่อนรูป
ความถูกต้องทำนองคลองธรรม คือนิยาย เสียงส่วนใหญ่ด้วย “มือในสภา” คือความจริง!
ฉะนั้น เรื่องปรับครม.เพราะเหตุจากอภิปราย ถ้าไม่ “คาหนัง-คาเขา” นายกฯ คิดได้ แต่ทำไม่ได้หรอก
รอไปซักพัก ตกกลางปี
พฤษภา-มิถุนา ถ้ามั่นใจยังไปต่อได้ การปรึกษาหารือกัน ด้วยเหตุว่า
อยู่กันมา “ครึ่งเทอม” ปรับครม.กันซักทีดีมั้ย?
แล้วให้แต่ละพรรคไปจิ้มเข้า-จิ้มออกของเขาเอง แบบนั้น การปรับครม.แบบ “สมบัติผลัดกันชม” อาจเกิดขึ้นได้
แต่ก็นั่นแหละ การเป็นรัฐบาลที่ต้องพึ่งเสียงพรรคอื่นเป็นหลัก คนเป็นนายกฯ แทนที่จะ “บริหารงาน-เอางาน”
ก็ต้อง “บริหารพรรคร่วม-เอาเสียง”
แบบนี้ ยิ่งอยู่นาน ยิ่งขาดทุนศรัทธาในประชาชน!
สู้หาจังหวะเหมาะๆ เรตติ้งดีๆ
แล้วล้างไพ่ “ยุบสภา” ให้ประชาชนพิจารณาเลือกใหม่ดีกว่า ว่าจะเอาใครเป็นรัฐบาล-เป็นนายกฯ
กลับไปพูดเรื่องประชุมสภาต่อ ……
เท่าที่ฟัง ข้อมูลที่นำมาซักฟอกรัฐมนตรี ร้อย ๘๐-๙๐ เรื่องเดิม-เรื่องเก่า แล้วก็ใช้ ความแค้นเก่าๆ ยกเป็นเรื่องจิกหัวด่า
โดยเฉพาะ “นายกฯ” ผิดตลอดกาล ทุกเที่ยวบิน ต้องบอมบ์ใส่กระบาลนายกฯ
มันก็ไม่ผิด เหมือนลูก ๑๐ คนไปมีเรื่อง ด่าลูก ก็ต้องวกมาลงที่พ่อ
“ไอ้ลูกพ่อแม่ไม่สั่งสอน”!
แต่ถ้าถาม แล้วมันถูกมั้ย มันก็ไม่ถูกหรอก แต่นี่แหละ หัวอก “คนเป็นพ่อ” ไง
อย่างอภิปราย ๔-๕ วันที่ผ่าน พูดกันตรงๆ ฝ่ายค้านกัดนายกฯ ไม่เข้า การซักฟอกเพื่อให้ออกจากตำแหน่ง มันต้องมีข้อมูล มีหลักฐาน งัดออกมาแล้ว ทั้งในสภา-นอกสภา
ต้อง…อื้อฮือ!
แต่นี่….
แต่ละคน คิดเค้นแต่คำสบถ คำเหยียดหยาม ดูหมิ่น-ดูแคลน เอาความรู้สึก เอาความแค้นแน่นอกตัวเอง ตั้งเป็นข้อหา ว่านายกฯผิด
ใช่ผิด….
คือ “ผิดใจ” ฝ่ายแค้น ที่นายกฯ อยู่นาน พวกกูพาลลงแดงแห้งตายถึงทุกวันนี้!
เพราะฝ่ายค้าน ใช้ความคุคลั่ง-ด้วยแค้น ทำหน้าที่ในสภาเช่นนี้แหละ ภาพที่ออกมา จึงเป็นเหมือนโจรอดอยากกระชากเสียง
คนดู-คนฟังรับไม่ได้….
นี่น่ะหรือ กิริยามารยาท “ท่านผู้ทรงเกียรติ” ในสภา ทำไมเถื่อนถ่อย อันธพาล ไร้เหตุ-ไร้ผลแบบนี้ แล้วจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกหลานรุ่นใหม่ได้อย่างไรกัน?
เมื่อถ่อยคือท่านผู้ทรงเกียรติ เป็นภาพประจักษ์ตาชาวบ้าน จึงทำให้ คุณภาพการอภิปรายของฝ่ายค้าน ด้อยไป
ทั้งที่บางท่าน อภิปรายดี ข้อมูลใช้ได้
แต่เมื่อใจคนไม่ให้ พูดอะไรไป ก็ไร้น้ำหนักทางเชื่อถือ
ฝ่ายค้านจึงเหมือน “ปาลูกบอล” ใส่ผนัง ผลลัพธ์คือ ลูกบอล “กระดอนใส่หน้า” ตัวเอง
นายกฯ จึง “บุญอุ้มสม” โดยปริยาย!
ยิ่งฝ่ายค้านเล่นบทแม่ผัว “จิกกระบาล” ลูกสะใภ้ตบ วันละ ๓ เวลา ชาวบ้านยิ่งเวทนา สงสาร-เห็นใจนายกฯ ที่ต้องงกๆ คนเดียวกับงานทั้งบ้าน
อะไรๆ ก็ลงที่นายกฯ ซักผ้า ถูบ้าน ล้างส้วม หุงหาอาหาร ก็นายกฯ
อะไรๆ นายกฯ ก็ผิดหมด ผิดเพราะ พวกกูเกลียดมึง!
เรื่องมันมีแค่นี้จริงๆ!
ปัญหาบ้านเมืองเวลานี้ ไม่ได้มาจากโควิด, เศรษฐกิจโดยตรง แต่มันมาจาก การเมือง “ในสภา-ในถนน” โดยตรง
“นักเรียน-นักศึกษา” ที่ออกมา ไม่ใช่ปัญหาถาวร
สันดาน “คิดคด-กบฏชาติ” ของพวกเสียโอกาส “โกงบ้าน-กินเมือง” นั่นคือ ต้นตอปัญหาถาวร
ความรวย-ความจน ถูกคนกลุ่มนั้น ปั้นเป็นมายาชนชั้น เพื่อแทรกเข้าสอดลิ่ม
พยายามทำให้คนเข้าใจว่า ความจนต้องแก้ด้วยเงิน และเงินคือ นิพพาน มีเงินแล้วบรรลุ “สุขตลอดกาล”
เนี่ย…
บ้านเมือง ด้วย “โจทย์สังคม” เงินคือทางออกชีวิต ถนนทุกสาย ทั้งรัฐบาล รัฐสภา ประชาชน ทั้งผู้ให้ รู้รับ ผู้แสวงหาจึงพากันหื่นกระหายไปทางนั้น
เมื่อ “เงิน” คือคำตอบ “ความสุข”
“ขายบ้าน-ขายเมือง” ให้ต่างชาติแลกเงิน มันจึงเป็นทางสุขที่พวกคิดคด-กบฏชาติ สร้างเป็นมรรควิถีให้พวกหลงแห่กันไปดังเช่นตอนนี้
ถามว่า แก้ได้มั้ย?
ทุกอย่างมันแก้ได้ แต่ไม่ใช่แก้แบบทวนกลับ เหมือนปลาที่หมักเกลือ-หมักข้าวคั่วลงไห จะแก้ด้วยการแยกปลา-แยกเกลือคืนกลับ มันก็ไม่ใช่แล้ว
ต้องปล่อยให้เน่า จนเปลี่ยนจากเน่าเข้าเนื้อ เป็น “ปลาร้า”
ตอนนี้แหละ จะต้ม, จะยำ, จะตำ, จะแกง
ที่ “เหม็น” กลับ “หอม” ตลบ!