สาหัสนิยาย”สู้ไป-คุกไป”

เปลว สีเงิน

การเมือง “ระบบสภา” เริ่มขมวดปมจบ!
“ฝ่ายค้าน” รู้ชะตา
เมื่อเจาะแนวรบด้าน “รัฐบาลประยุทธ์” ไม่เข้า ทัพตัวเองอ่อนล้า บ้างถอดใจ บ้างล้มตาย บ้างตีจาก
ที่อยู่ตอนนี้ ไม่ตางผีล้นป่าช้า
มีแต่โครงร่าง ถอดวิญญานเป็น “โอปปาติกะ” เตรียมไปสิงพรรคใหม่ของเจ๊มากต่อมาก!

“ดี-ชั่ว” อยู่ที่ตัวทำ แต่ละคนในเพื่อไทย “เก๋าเกม” ทั้งนั้น ฉะนั้น มีหรือที่จะไม่รู้ ว่าขณะนี้ นอกจากรุกจนหัวห้อยแล้ว
โอกาสพรรค “ถูกยุบ” ยังมีสูง (มาก)

โทษฐานปล่อยให้ผู้มีบารมีนอกพรรคแดนไกล “ครอบงำ-ชักใย” กิจการพรรค เช่น หาเสียงให้ลูกพรรคที่เชียงใหม่
กระทั่งก้าวไกลก็ใช่ว่าจะไม่หนาวๆ ร้อนๆด้วยประเด็นเดียวกัน

นัวเนียขบวนการบ่อนทำลายสถาบันหลักของชาติและทั้งส่อเป็นพรรคร่างทรง “คนล้มเจ้า”

ไม่เชื่อลองถาม “ศาสดากฎหมาย” จากตูลุสดูก็ได้ แต่เขาตอบว่าไง อย่าเชื่อนะ
คนที่เชื่อ ฉิบหายเห็นๆ แทบทุกราย รึไม่จริง?

คงคิดสะระตะแล้ว เกมนี้ สู้เองก็แล้ว หลอกเด็กสู้ก็แล้ว เป่าตูดผีคณะราษฎรสู้ก็แล้ว เปิดประตูให้ต่างชาติเข้ามาช่วยสู้ก็แล้ว
เสียบตูดประยุทธ์ไม่ได้ซักที!

ก็เหลือแผนเดียว คือแผน “กามิกาเซ่” เป้าหมาย “สถาบันพระมหากษัตริย์”

แต่ไพร่พลรบ “ล้มเจ้า” รุ่นใหม่ที่หลอกใช้ ขนอุยร่วง ถอดใจ-หายเห่อ ไปแทบหมด
เหลือยืนโรงแค่ “แดงทักษิณอมส้มทนาทอน”!

แต่อยู่ในสภาพ “ขี้แตกในกุงเกง” ซุกๆซ่อนๆ หนีหมายจับบ้าง คอตก-กุมเป้า เข้ารายงานตัวอัยการบ้าง ขึ้นศาลบ้าง
ฝืนชู ๓ นิ้ว ขณะที่ หน้าซีดเหลือ ๒ นิ้ว!
เมื่อแนวรบด้าน “ล้มประยุทธ์” บรรดาขนพลขนอุยกระจุยรูด สามสัส “ทัพหน้า” จะแก้ไขสถานการณ์อย่างไรดีล่ะ?
ทอน “ขี่ยานไฮเปอร์ลูป” เปิดหน้า-เปิดแนวรบ ด้านสถาบัน ถล่ม “วัคซีนพระราชทาน:ใครได้-ใครเสีย” ทันที

ตึง..ตึง!
ที่ ตึง..ตึง ไม่ ตูม..ตูม เพราะ…..
ใครก็นึกไม่ถึง ชาวบ้าน-ชาวช่อง ร้อยละกว่า ๙๘-๙๙% ของประเทศ ล้วนเป็น “กำแพงแก้วพิทักษ์ชาติและสถาบัน”

ทอนถล่มปุ๊บ
“กองกำลังพิทักษ์ชาติ-สถาบัน” พรึ่บยิ่งกว่าเห็ดโคนหัวฝน ดาหน้าออกมา คว้าลูกระเบิดธนาธรที่ยังไม่ทันแตกตัว เขวี้ยงกลับไปยังทิศ “ไทยซัมมิท”

ระเบิดตูม..ตูมใส่ “พ่อของฟ้า” หน้าตาแหก วิ่งแจ้นไปฟ้องแม่และเมียแทบไม่ทัน!
ร้อนถึง “กองกำลังร่วม” ของทอนในสภา เห็นพรรคพวกขบวนการ “ล่มชาติ-ล้มสถาบัน” กระเจิงเหมือนหมาขี้เรื้อนถูกน้ำหน่อไม้ดองราดหลัง
ไม่ได้..ไม่ได้…มันแสบด้วย

จึงใช้แผน “เบี่ยงทางน้ำไหล” ให้ฝ่ายที่รุกกลับคือรัฐบาลต้องหันมาทำสะพาน-ต่อแพ เปิดทางให้สามสัสมีเวลาแกะสะเก็ดโดยปริยาย

ร่างญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯและรัฐมนตรี จึงเป็นประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ในรอบ ๘๘ ปี

คือฝ่ายค้าน นำเอา “สถาบัน” ไปพัวพันอยู่ญัตตินั้นด้วย!
อีกทาง ก้าวไกล “เงาหัว” ของธนาธร-ปิยบุตร ขมีขมัน เตรียมเสนอ “ร่างแก้ไขพระราชบัญญัติเพิ่มเติมกฎหมาย มาตรา ๑๑๒” ต่อสภา

ก็อย่างว่า อะไรที่เข้าลักษณะ “คิดคด-กบฏชาติ” ถึงไม่มีใครไปคัดง้าง แต่ด้วยฟ้าดิน ก็จะมีอันเป็นไปให้ปราฏ
และนี่ ที่เป็นไปให้ปรากฏ…..
เมื่อพรรคก้าวไกลให้สมาชิกลงชื่อเพื่อเสนอญัตติ “นายคารม พลพรกลาง” ส.ส.บัญชีรายชื่อก้าวไกล ประกาศเปรี้ยง

“ผมไม่เซ็นครับ บอกผ่านสื่อได้เลย ผมไม่เซ็น ไม่ทราบคนอื่นจะเซ็นหรือไม่ แต่ผมไม่เซ็น และบังคับผมไม่ได้..”

“………..ผมไม่ใช่ลูกน้องนายปิยบุตร การเซ็นรับเครื่องราชฯ ก็ถือเป็นสิทธิของแต่ละบุคคล ขณะนี้ภายในพรรคก็ไม่มีการพูดถึงประเด็นดังกล่าว ผมเป็นส.ส.มีความสุขและเต็มใจที่จะทำงานในสภา…..”

“นายขวัญเลิศ พานิชมาท” โพสต์ข้อความ

“กระผมนาย ขวัญเลิศ พานิชมาท”(สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดชลบุรี) ต้องกราบขออภัยพี่น้องประชาชนชาวศรีราชา ………

กระผมขออนุญาตไม่ลงชื่อแก้ไขมาตรา 112 ตามมติพรรค (หรือพูดง่ายๆ สวนมติพรรค)
ซึ่งกระผมยอมรับผลการลงโทษและการคาดโทษจากทางพรรคที่จะตามมา”

เอาละซี “แตกดังโพล๊ะ” อีกรอบ!
ก้าวไกลหรืออนาคตใหม่ ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ ตั้ง ๘๐ กว่าสส.ทำไป-ทำมา ตอนนี้เหลือ ๕๐ กว่า สส.เขตกะริบ-กะร่อย

นอกนั้น ประเภทเกาะหลังเขาเข้ามา
จบสมัยนี้เมื่อไหร่ สส.เขตคงไปกันแทบหมด ส่วนพวกแมงดา ไม่รู้จะมีพรรคไหนเหมาเอาไปทำกะปิ-น้ำปลาบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้?


เนี่ย…
เมื่อใกล้จะพัง อะไรๆ มันก็พลาดไปหมด ทัพเด็กก็พัง ทัพใหญ่ธนาธรต้องออกศึกเอง…ก็พัง แถมนายคารม “ลูกพรรค” เก่า สับแสกหน้า

“ผมไม่ใช่ลูกน้องนายปิยบุตร”!

ทำเอาปิยบุตร “เสนาธิการใหญ่” ที่เลียบค่ายมาตลอด ต้องกระโดดผาง โพสต์ทันที

“…….หาก ส.ส.ไม่กล้าเปลี่ยนแปลงกฎหมายที่ลิดรอนเสรีภาพและอำนาจประชาชน กฎหมายที่แปลง “ประชาชน” ผู้ทรงอำนาจสูงสุดของประเทศให้กลายเป็น “ไพร่”

แล้ว ส.ส.ก็เป็นเพียงคนที่หายใจไปวันๆ เพื่อตำแหน่ง ยศถาบรรดาศักดิ์ เงินทอง อำนาจ ของตนเท่านั้น

เมื่อ ส.ส.ถูกทำให้เป็น “พนักงานของรัฐ” ไม่ใช่ “ผู้แทนประชาชน” แล้ว กลไกรัฐที่เป็นปฏิปักษ์ประชาธิปไตยก็ได้ครอบงำเบ็ดเสร็จ

เมื่อสถาบันทางการเมืองที่ถืออำนาจรัฐไม่อาจสนองตอบความต้องการประชาชนได้
เมื่อนั้น “ประชาชน” จักปรากฏกายขึ้นเพื่อเปลี่ยนแปลงกันเอง”

โอ๊ะ…..
ศึกนี้หนักนัก เรียกว่าตอนนี้ มีใครต่อใคร-หน้าไหน ซุกตูด-ซุกก้นใครอยู่ที่ไหน ต้องดาหน้าออกมา “ทุ่มกำลังรบ” เพื่อล้มเจ้า ชนิด ตาย-เป็นตาย

ก็คงได้ตาย “สมใจ” หรอก!
ประเมินแนวรบทุกด้านแล้ว น่าใจหาย ที่ยังหายใจแขม็บๆ กันได้อยู่
จากไพร่ราบ-พลเลว ถึงชั้นแม่ทัพ-นายกอง และระดับเสนาธิการ ก็ออกมาประจานหน้าจะๆ แล้ว

ยังจะเหลือใครอีกล่ะ ที่เหนือกว่านี้ของขบวนการ?

ก็นี่ไง….
“ขุนพลชรา” ผู้กราบตีนเด็ก ถึงคราต้องออกฉาก จะออกมารบ หรือจะมาเป็นศพให้หมาเยี่ยวรด ก็ลองดูปฐมบทออกฉากเขาหน่อยปะไร

“ไม่ใช่เฉพาะนักศึกษาเพียงฝ่ายเดียวที่เห็นว่าคำหยาบคือเครื่องมืออย่างดีในการทำลาย “ช่วงชั้น” อันแสนละเอียดอ่อนของสังคมและวัฒนธรรมไทย

คำที่ใช้กับเพื่อนเล่นได้ ก็เป็นคำที่ใช้กับประธานรัฐสภาได้
(อย่าว่ากับนายกฯ และเหล่ารัฐมนตีรีต่างๆเลย)

ในทัศนะของผม ความหมายใหม่ของคำหยาบคือความเสมอภาค

นิธิ เอียวศรีวงศ์

คำหยาบเสมอภาค
และลัทธิโรแมนติกนิยม
ปรากฏมีเสียงตอบสนอง “ลัทธิโรแมนติก” โดยพลัน ดังนี้

“มันไม่ใช่แค่คำทำลายช่วงชั้นอะไรหรอก
มันคือการทำลายความปราณีตทางความคิดด้วย
เดี๋ยวนี้การพูดคุยกันด้วยความอดทน แข่งกันใช้เหตุผลหายากแล้ว

มาถึงก็พ่นคำด่าหยาบคายใส่กัน
ก็ส่งเสริมกันเข้าไปค่ะ
ถ้าอยากได้สังคมแบบนั้น เราไม่เอาด้วย และจะไม่ร่วมสร้างสิ่งแวดล้อมแบบนั้นให้ลูกตัวเอง

น.ส.ณัฎฐา มหัทธนา(โบว์)
นักเคลื่อนไหวทางการเมือง

อาาาา…ศพต่อไป….
ขอเชิญท่านประธานขบวนการใหญ่ “ขุนพลชาญวิทย์” ขึ้นเชิงตะกอนได้แล้วครับ!


Written By
More from plew
“๔ เดือน” คือ “เงื่อนตาย” – เปลว สีเงิน
เปลว สีเงิน ผมว่า เรื่องแจกเงินดิจิทัล ๑ หมื่น รวม ๕ แสนล้านบาท “คืบหน้าไปถึงไหนแล้ว” นั้น คนที่พูดบนฐาน...
Read More
0 replies on “สาหัสนิยาย”สู้ไป-คุกไป””