“คุยกันวันอาทิตย์” กับ เปลว สีเงิน “มุสลิมกับพระมหากษัตริย์ไทย”

เปลว สีเงิน

วันก่อนติดค้างไว้ ……..
กรณี สำนักจุฬาราชมนตรี สำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำกรุงเทพมหานคร สำนักงานตณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด จัดงาน “รวมพลังมุสลิม ปกป้องสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์” เมื่อวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๓
ที่หอประชุมศูนย์บริหารกิจการศาสนาอิสลามแห่งชาติ เฉลิมพระเกียรติ หนองจอก กทม.

โดยมีแถลงการณ์ ว่า

๑.วัตถุประสงค์ของการจัดงานในครั้งนี้
เพื่อเน้นย้ำถึงความสำคัญของสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ในสังคมไทยที่สำคัญยิ่ง

เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยมุสลิม นับจากอดีตจนถึงปัจจุบัน

ทั้งนี้ พระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ ทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภก

ศาสนาอิสลามจึงส่งเสริมให้แสดงความกตัญญูและสำนึกในบุญคุณของผู้มีพระคุณ โดยฉพาะผู้ที่ช่วยทำนุบำรุงความเจริญของศาสนา

และเพื่อให้พี่น้องมุสลิมได้ร่วมกันขอพร (ดุอา)ให้สังคมและประเทศชาติมีความร่มเย็นเป็นสุข

๒.สำนักจุฬาราชมนตรีตระหนักดีว่า
ปัจจุบันสังคมไทยมีความขัดแย้งและความเห็นต่างทางการเมืองสูง สำนักจุฬาราชมนตรีและองค์กรศาสนาอิสลามทุกระดับเป็นองค์กรศาสนาที่ต้องดำรงความเป็นกลางทางการเมือง

อย่างไรก็ตาม เราตระหนักว่าคู่ขัดแย้งทางการเมืองทุกฝ่ายขณะนี้นั้น ต่างมีจุดยืนที่เห็นตรงกันในการปกปักรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์เพื่อเป็นสถาบันหลักในสังคมไทยสืบไป

ดังนั้น เพื่อเป็นการหาทางออกให้สังคมไทย

จึงขอเรียกร้องให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเปิดพื้นที่เพื่อการพูดคุยหาทางออกให้สังคมอย่างมีไมตรีจิตและเคารพการแสดงความคิดเห็นของทุกภาคส่วน
และประการสำคัญ พึงระลึกว่าทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องล้วนเป็นคนไทยด้วยกัน ให้มีการอำนวยความยุติธรมแก่ทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียมกัน เพื่อสร้างความสงบสันติให้เกิดขึ้นในสังคมไทยโดยเร็ววัน

และเมื่อวันที่ ๑๐ พย.นั้น มีพี่น้องมุสลิมแต่งกายชุดเหลืองออกมาร่วมดุอาจำนวนมากอย่างที่เห็นกันแล้ว

ปรากฏว่า ขบวนการ ๓ นิ้ว ที่ออกมาชุมนุมปฏิบัติการล้มเจ้า-ล้มสถาบัน แกนนำม็อบคนหนึ่ง “นายไมค์ ระยอง” ทวีตข้อความว่า

“ท่านควรวางตัวเป็นกลาง ไม่ควรแสดงชี้ชัดว่าอยู่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง”

กรณีนี้ มีผู้ออกมาตำหนินายไมค์ ถึงการบังอาจก้าวล่วงท่านจุฬาราชมนตรีเป็นจำนวนมาก และผมติดค้างตรงนี้ไว้ จะพูดคุยกันถึงว่า

การออกมาขอดุอาให้สังคมและประเทศชาติมีความร่มเย็นเป็นสุข เป็นเรื่องดีงาม
เป็นเรื่องของการแสดงออกซึ่งความกตัญญูต่อ ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ของพี่น้องชาวมุสลิม ที่ควรต้องสรรเสริญอย่างยิ่ง มิใช่ที่ใครจะมากล่าวว่าถึงความเป็นกลาง-ไม่เป็นกลาง

ความจริง…..
อ่านจากแถลงการณ์ “สำนักจุฬาราชมนตรี” ก็เข้าใจแจ่มชัดแล้ว แต่ทีนี้ วันก่อน ผมได้ดูที่คุณ “ทัศนีย์ มุสิกเจริญ” นำคลิป “มุสลิมบ้านเกาะดอน” บางบัวทอง นนทบุรี มาลงเว็บไว้

เรื่อง”มุสลิมกับพระมหากษัตริย์ไทย” โดย “อาจารย์อับดุลฮากีม วันแอเลาะ” บรรยายต่อนักศึกษา ผมฟังโดยตลอดแล้วทั้งซาบซึ้ง ทั้งได้รับความรู้ เป็นที่มหัศจรรย์ว่า
ประวัติศาสตร์ชาติไทยกว่า ๘๐๐ ปี จากกรุงสุโขทัยถึงกรุงรัตนโกสินทร์ ณ ปัจจุบัน

ด้วยอัจฉริภาพ “อาจารย์อับดุลฮากีม วันแอเลาะ” สามารถใช้เวลาสั้นๆ เรียบเรียงบรรยยายครบถ้วนประบวนความสำคัญ อันยากหาฟังจากที่อื่นได้

ผมฟังรวดเดียว ๒-๓ จบ และมองเห็นว่าคำบรรยายของอาจารย์อับดุลฮากีม วันแอเลาะ ตอบโจทย์ปัญหาสังคมบ้านเมืองปัจจุบันได้ดีมาก

อีกทั้งให้ความรู้-ความเข้าใจ ว่าทำไมพี่น้องมุสลิมจึงจัดงาน “รวมพลังมุสลิม ปกป้องสถาบันชาติ ศษสน์ กษัตริย์” เมื่อ ๑๐ พย.๖๓

ผมใช้เวลาค่อนคืน แกะคำบรรยายจากคลิปด้วยศรัทธา และขออนุญาตอาจารย์อับดุลฮากีม วันแอเลาะ นำเผยแพร่ต่อ ดังข้อความต่อจากนี้
…………………..

“มุสลิมกับพระมหากษัตริย์ไทย”
“อาจารย์อับดุลฮากีม วันแอเลาะ”ผู้บรรยาย

เกียรติภูมิของอิสลามและมุสลิมในประเทศไทยว่าเรารักในหลวง ทำไมถึงรักในหลวง

เรามาดูว่าเรามีแผ่นดินอยู่ ที่มีความสุขอยู่ได้ในขณะนี้ ก็เกิดขึ้นโดยการนำของพระมหากษัตริย์ทุกยุคทุกสมัย ซึ่งนำพี่น้องประชาชนพสกนิกร ปกป้องไว้ซึ่งบูรณภาพและอธิปไตยแห่งดินแดน

สังเกตมั้ยว่า ในยุคของการล่าอาณานิคมนั้น ทุกประเทศรอบประเทศไทย ตกเป็นอาณานิคมของประเทศอังกฤษและฝรั่งเศส ไม่มีเหลือเลยแม้แต่ประเทศเดียว
แต่มีประเทศเดียวที่รอดมาได้ ก็คือประเทศไทย ที่ไม่เคยตกเป็นอาณานิคมของมหาอำนาจตะวันเลยตกประเทศเดียว จะเล่าให้นักศึกษาฟัง ……

ตั้งแต่สมัยพ่อขุนรามคำแหง กรุงสุโขทัย ประวัติศาสตร์ที่เรามองย้อนไป ไม่ต้องไกล เอาแค่กรุงสุโขทัยเนี่ย
ในสมัยสุโขทัย ไม่มีกษัตริย์ แต่มี “พ่อขุน” การปกครอง เป็นการปกครองแบบครอบครัว “พ่อปกครองลูก” ฉะนั้น คนที่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในกรุงสุโขทัยนั้น ทุกคนเรียก “พ่อขุน” …พ่อขุนรามคำแหง พ่อขุนบางกลางท่าว

ในขณะที่การสู้รบก็เกิดขึ้น ตั้งแต่เกิดสยาม เกิดชาติไทยขึ้นมาเลยทีเดียว ระหว่างพม่ากับไทย เขมรกับไทย ลาวกับไทย รอบบ้านเนี่ย ใครที่มีแสนยานุภาพ เข้มแข็งกว่า ก็จะรวบรวมดินแดนเป็นของตน

ฉะนั้น จึงมีหลายครั้ง พม่าเข้ามายึดเชียงใหม่ ยึดกรุงสุโขทัย อะไรต่างๆ เหล่านี้ มีเจตนาอย่างนี้ ยึดได้บ้าง ไม่ได้บ้างตามหัวเมือง แล้วเราก็ได้ตีกลับเอามาหมด กลับมาเป็นของไทยอย่างเดิม

นั่นคือ เสียเลือดเนื้อเพื่อปกป้องผืนแผ่นดินนี้ให้เป็นอิสระ โดยการนำของพระมหากษัตริย์ในทุกยุค ทุกสมัย

ในสมัยกรุงศรีอยุธยา…ถัดมา มุมมองของคนไทยที่ไม่ได้นับถือศาสนาอิสลามเปลี่ยนไป ไม่ได้ยึดถือผู้นำว่าเป็นพ่อขุนเหมือนกับสมัยสุโขทัยอีกต่อไปแล้ว
แต่มายึดถือผู้นำ… “พ่อขุน” เนี่ยเป็นพระมหากษัตริย์ โดยวางผู้นำของตัวเองไว้ในฐานะ “เทพสมมุติ”

นักศึกษาเข้าใจ “เทพสมมุติ” มั้ย คือนับถือผู้นำของตนเองเป็น “พระเจ้า”
พระนามาของกษัตริย์เทพสมมุติเนี่ย จึงเปลี่ยนจาก “พ่อขุน” มาเป็นพระ “พระมหากษัตริย์”

และจากกรุงศรีอยุธยาเรื่อยมา กษัตริย์ทุกพระองค์อยู่ในฐานะของ “เทพสมมุติ” ทั้งสิ้น

ราษฎรเวลาเข้าเฝ้า จะต้องกราบกรานเหมือนกับการกราบกรานต่อ “พระผู้เป็นเจ้า”
มันเป็นการแสดงออกซึ่งความรัก ความเทิดทูน การขอบคุณ จนกระทั่งยกฐานะของผู้ที่เป็นกษัตริย์เทียบเท่า “พระผู้เป็นเจ้า” เลยทีเดียว จึงเรียกเป็น “พระมหากษัตริย์”

เห็นมั้ย เรื่องของวัฒนธรรม เรื่องของศาสนาก็เข้ามาเกี่ยวข้องในส่วนต่างๆ เหล่านี้
และปี พศ.๒๑๑๒ พม่าได้ยกกองทัพมายึดกรุงศรีอยุธยา กรุงศรีอยุธยาเมืองแตก ถูกพม่ายึดไป นี่เราเรียกว่าเป็นการเสียกรุงครั้งแรก

และพม่าก็กวาดเอาเชลย เอาโภคทรัพย์ไป แล้วก็เอา “พระนเรศวร” ไปเป็นตัวประกันด้วย ตั้งแต่ทรงพระเยาว์อยู่ เพื่อไม่ให้เกิดการแข็งเมือง

และพระนเรศวรนี่แหละ เมื่อเติบใหญ่ขึ้นมาแล้ว ก็เดินทางกลับมากรุงศรีอยุธยา พระนเรศวรกอบกู้เอกราช ไม่ขึ้นกับพม่าอีกต่อไป

จนกระทั่งเกิดการยุทธหัตถี ชนช้างระหว่างพระมหาอุปราชากับพระนเรศวรมหาราช และพระนเรศวรกับกองทัพสยามเป็นฝ่ายชนะ

กรุงศรีอยุธยา ก็กลับมาเป็นเอกราชอีกครั้งหนึ่ง ไม่เป็นเมืองขึ้นของพม่าอีกต่อไป
ตอนเป็นเมืองขึ้นต้องส่งส่วยทุกปี และในปีต่อมา เราเสียกรุงครั้งที่ ๒ อีก ในปีพศ.๒๓๑๐ กรุงศรีอยุธยาต้องเสียกรุงครั้งที่ ๒ อันเนื่องมาจากความอ่อนแอของพระเจ้าทรงธรรม โดยมี “พระเจ้าตากสินมหาราช” ตีฝ่าวงล้อมไป

ไปตั้งทัพอยู่จันทบุรี รวบรวมไพร่พลกลับมาตีเอากรุงศรีอยุธยากลับคืนเป็นของไทยอีกครั้ง ขับไล่พวกพม่าออกไป แล้วย้ายราชธานีจากกรุงศรีอยุธยาเป็น “กรุงธนบุรี”

มุสลิมในสมัยกรุงศรีอยุธยานั้น……
มีส่วนร่วมสำคัญในสงคราม และก็ในสมัยกรุงธนบุรี แม้แต่กรุงรัตนโกสินทร์
อย่าง “เจ้าพระยาราชวังสัน” ก็คือ “บังซัน” และเป็นแม่ทัพ เสียชีวิตในสมรภูมิ
ศพทหารที่เป็นมุสลิม ๗-๘ ศพ เฉพาะที่เป็นแม่ทัพ ถูกฝังอยู่ที่มัสยิส “ต้นสน” ในกรุงเทพมหานคร ที่ฝั่งธนบุรี มีโอกาสก็ไป…..(กล่าวคำในพระคัมภีร์) ได้

ตอนนี้ ก็เพียงจะบอก มุสลิมมีส่วนสำคัญในการปกป้องบ้านเมือง สละชีวิต ในสมัยกรุงศรีอยุธยาก็มี “เฉก อะหมัด” ในสมัย “สมเด็จพระนารายณ์มหาราช” ต่างๆ มีมุสลิมทั้งนั้น เป็นแม่ทัพนายกอง

แม้แต่แม่ทัพเรือที่ต่อสู้นักล่าอาณานิคมก็เป็นมุสลิม โดยพระมหากษัตริย์ทั้งนั้น
แล้วก็มาถึง “ราชวงศ์จักรี” พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก”

ในสมัย “พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก” แผ่นดินสยามกว้างใหญ่ไพศาลมากที่สุด
ที่ไทรบุรี ตอนนี้เป็นของมาเลเซีย ตรังกานู ต่างๆ เหล่านี้ เดิมทีเดียว เป็นของแผ่นดินสยามในสมัยพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
ทางตะวันออก มีเสียมราช พระตะบอง ศรีโสภณ เป็นส่วนหนึ่งของพระเทศไทย ราชวงศ์จักรี ก็คือราชวงศ์ปัจจุบันนี้แหละ ได้รวบรวมไพร่พลขยายเขตแดนมาอยู่ในปกครองกว้างที่สุดในประวัติศาสตร์

แต่เมื่อมีลัทธิล่าอาณานิคมเกิดขึ้น ตอนนี้กำลังจะบอกเหตุผลว่า ทำไมเราถึงไม่ตกอยู่ใต้อาณานิคมของใครเลย ฝรั่งเศส อังกฤษ มาตีทุกเมือง ยึดทุกเมือง แล้วก็กอบโกยโภคทรัพย์ต่างๆ ไปเป็นของตน นั่นก็คือเป้าหมาย การเอาชนะในด้านเศรษฐกิจ โดยใช้กำลังทหาร

เมื่อมา ถึงรัชกาลที่ ๔ ต่อเนื่องรัชกาลที่ ๕ ฝรั่งต่างชาติเข้ามาอยู่ในประเทศไทยมาก การล่าอานานิคมก็ยังดำเนินอยู่
“พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” รัชกาลที่ ๕ เสด็จฯ ประพาสยุโรป อังกฤษ ฝรั่งเศส ซึ่งเป็นเจ้าอาณานิคม เพื่อเจริญสัมพันธไมตรี และเพื่อต่อรองไม่ให้ประเทศมหาอำนาจเหล่านี้ ซึ่งเป็นจักรวรรดินิยม ล่าอาณานิคมเนี่ย ทำการยึดครองประเทศไทยของเรา

และเมื่อเสร็จจากการประพาสยุโรป เพื่อเจริญสัมพันธไมตรีแล้ว พระองค์ก็เสด็จฯไปรัสเซีย สหภาพโซเวียตในอดีต ซึ่งยังคงมี “พระเจ้าซาร์” ของรัสเซียปกครองอยู่
และก็ไปฉายพระรูปคู่กับพระเจ้าซาร์แห่งรัสเซีย ซึ่งเป็นประเทศมหาอำนาจด้วยเหมือนกัน

การฉายภาพคู่กับรัสเซียเนี่ย ถูกเผยแพร่ไปทั่วโลก ทำให้อังกฤษ ฝรั่งเศส มีความเกรงอกเกรงใจประเทศไทย ไม่กล้าที่จะบุกยึดประเทศไทยเป็นอาณานิคม เพราะเกรงบารมีประเทศรัสเซีย ซึ่งเป็นประเทศมหาอำนาจ

นี่คือความชาญฉลาดของพระมหากษัตริย์ในการเอาตัวรอด แต่ว่าตามแนวตะเข็บ อย่าง สิงคโปร์ มาเลเซีย อินเดีย พม่า ตกเป็นอาณานิคมของประเทศอังกฤษ ทางตะวันออก ลาว กัมพูชา เวียดนาม ตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส

นักล่าอาณานิคมทั้ง ๒ ก็รุกล้ำเข้ามา ซึ่งกษัตริย์ไทยของเราก็ต้องยอมเสียแขน เสียขา ยอมยกบางจังหวัด บางเมือง ซึ่งอยู่ในครอบครองของสยามอยู่แล้วให้แก่อังกฤษ

พวกตรังกานู พวกปลิศ อะไรต่างๆ ที่อยู่ในมาเลเซียปัจจุบัน เพื่อแลกกับการที่ไม่ให้รุกรานเข้ามาในประเทศไทย
ในส่วนที่ในตะวันออก ก็ยอมคืนเสียมราช พระตะบอง ศรีโสภณ ให้อยู่กับฝรั่งเศส แลกกับการที่ต้องไม่เข้ามายึดประเทศไทยเป็นอาณานิคม

นี่เป็นเหตุผลหนึ่ง ที่ทำไมการต่อสู้แย่งชิงเขาพระวิหารไทยจึงเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ เพราะฝรั่งเศสนำเอาแผนที่ตอนที่ตัวเองเป็นเจ้าอาณานิคมไปแสดงต่อศาลที่กรุงเฮกว่า เขาพระวิหารนั้น เป็นส่วนหนึ่งของประเทศกัมพูชา

และก็มีปฏิบัติการที่เรียกกันว่า “ถุงแดง” พระมหากษัตริย์จะรวบรวมเงินส่วนหนึ่ง และพ่อค้าที่มีเงินมากๆ บริจาคส่วนหนึ่งมาเข้าถุงแดง

มาเข้าถุงแดงนี้ เพื่อแลกกับอะไร เพื่อไปมอบให้กับประเทศจักรวรรดินิยมเป็นการส่งส่วย ว่าคุณอย่ามายึดเอาประเทศไทยเป็นอาณานิคมนะ ในช่วงนั้น จนกระทั่ง เป็นประเทศเดียวเท่านั้นที่ไม่ถูกยึดครอง
นี้คือ ความภาคภูมิใจ…….

และถามว่า ใครเป็นผู้ดำเนินกุศโลบายอันนี้ ก็คือพระมหากษัตริย์ไทย “พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” รัชกาลที่ ๕
และก็ได้ทรงมีการปล่อยทาส เนี่ย….พูดเลยมา สมัยนั้น มีทาส มีการออกกฎหมาย มีไฟฟ้า มีถนน มีอะไรต่างๆ พระมหากษัตริย์ทรงพัฒนา และส่งเชื้อพระวงศ์ไปเรียนยังต่างประเทศ สำเร็จการศึกษากลับมา ก็เพื่อที่จะมาฟื้นฟูประเทศไทย ให้มีความเจริญเยี่ยงอารยประเทศทั้งหลาย

ดังนั้น การอำนวยความสะดวกต่างๆ จึงเกิดขึ้น การพัฒนาบ้านเมืองจึงเกิดขึ้น ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๔ รัชกาลที่่ ๕ ตามลำดับมาเลยทีเดียว

เมื่อโลกเปลี่ยนไป สถาบันพระมหากษัตริย์ ก็ทรงมีการปรับวิธีการ เพื่อรักษาความอยู่รอด และความผาสุก ให้เกิดขึ้นกับผืนแผ่นดินไทย มีการประเทศเลิกทาส

ดังนั้น ทาสที่เราเรียกในภาษาอังกฤษว่าไพร่ มันไม่มีแล้วในประเทศไทยของเรา “เลิกทาส” โดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อแต่อย่างใด

ในอเมริกา มีการประกาศเลิกทาสโดยประธานาธิบดี “อับราฮัม ลินคอล์น” เกิดสงครามกลางเมือง ๔ ปีเต็มๆ ฝ่ายหนึ่งอยากให้เลิกทาส อีกฝ่ายไม่อยากให้เลิก ก็มีการต่อสู้กัน เสียเลืดเนื้อ

แต่การเลิกทาสในสมัยรัชกาลที่ ๕ ไม่มีเสียเลือดเนื้อเลยแม้แต่หยดเดียว มีกฎหมาย เวียง วัง คลัง นา มาแลกเปลี่ยนกับการเลิกทาสเหล่านี้ ให้ประโยชน์กับคนที่เป็นนายทาส ให้ที่ดิน ให้อะไรต่างๆเพิ่มเติม

ทั้งนี้ เพื่อให้คนไทยทั้งหมดเป็น “เสรีชน” ทาสก็หมดไปตั้งแต่รัชกาลที่ ๕
เพราะทาสเขาเลิกไปตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ โดยพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นผู้ออกกฎหมายเลิกทาสด้วยพระองค์เอง

และก็มาดูในหลวงรัชกาลที่ ๙ ในหลวงของไทยเรา เราอยู่ในประเทศไทย เราโชคดีมาก ในหลวงให้แต่ความสุข ให้แต่ประโยชน์ แก่พสกนิกรของพระองค์ทั้งประเทศ ในสิ่งที่รัฐบาลทุกรัฐบาลไม่สามารถจะให้ได้

ในหลวงรัชกาลที่ ๙ มีโครงการในพระราชดำริมากกว่า ๔,๐๐๐ โครงการ ไม่มีตำบลไหนในประเทศไทย ที่พระองค์ไม่ได้เสด็จฯ ไปเยี่ยมเยียน

มีการสร้างเขื่อน มีการผันน้ำ มีโครงการแก้มลิง มีโครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ มีโครงการศิลปาชีพ มีโครงการเปลี่ยนจากการปลูกฝิ่นมาปลูกกาแฟ มีศูนย์ศิลปาชีพ มีอะไรต่างๆสัมผัสโดยตรง
ในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ นี้ …….

ในทันทีที่ราชาภิเษก ก็ทรงปฏิบัติการมี “จิตอาสา” เคยเห็นใช่มั้ย ที่สวมเสื้อเหลือง ใส่หมวกแก๊ป แล้วก็มาลากผักตบชวา ขยะ สิ่งโสโครกทั้งหมด ออกจากลำคลองในกรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัด

ได้ดูข่าวกันหรือเปล่า….
นี่คือ สิ่งที่ในหลวงทำ และประโยชน์ที่ได้รับก็คือพี่น้องประชาชน
แล้วเรามาดู โควิด19 เกิดขึ้น ทรงพระราชทานเครื่องมือการตรวจสอบหาโควิด พระราชทานรถเป็นสิบๆ คัน ไปวางตามจุดต่างๆ เพื่อตรวจหาโควิด


เวลามีน้ำท่วมเกิดขึ้น พระราชทาน “ถุงพระราชทาน” และไม่ได้มีองค์กรเดียว มีหลายองค์กร เพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก มูลนิธิสายใจไทย เห็นมั้ย

ทุกครั้ง เมื่อมีภัยพิบัติในทางธรรมชาติเกิดขึ้น ไม่ว่าอุทกภัย อัคคีภัย หรือวาตภัย ถุงยังชีพต่างๆ เหล่านี้จะออกไป แม้แต่ในช่วงโควิด คนตกงานกันเยอะแยะ

“สมเด็จพระขนิษฐาธิราช” ทรงตั้งโรงครัวขึ้นมา แล้วไปตั้งในที่ต่างๆ เคลื่อนย้ายไปเรื่อย เพื่อปรุงอาหารแจกจ่ายให้แก่ประชาชน

เนี่ย…นำเอาประวัติมาเล่าให้ฟัง
โดยเหตุอย่างนี้แหละ คุณธรรมของคนที่เป็นมุสลิม ในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน จึงได้บอกไว้ว่า………(กล่าวคำในพระคัมภีร์)

ใครที่รู้จักขอบคุณ เมื่อมีคนมาทำดีกับเรา ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม หน้าที่ของเราต้องขอบคุณ ต้องสำนึกในบุญคุณ สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ อันเกิดจากพระมหากษัตริย์ นี้คือการขอบคุณ

และการที่ทำอย่างนี้ มันคือการขอบคุณของตัวเราเอง แสดงว่า เราไม่ใช่คนอกตัญญู เราเป็นคนที่รู้คุณคน เราจึงรักคนที่สร้างคุณประโยชน์ บำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้แก่เรา….(กล่าวคำในพระคัมภีร์)

แต่ผู้ใดที่เนรคุณ คนเนรคุณคือคนบาป ตามหลักการของศาสนา ไม่รู้จักการขอบคุณ อัลเลาะห์ก็ทรงตรัสว่า….(คำในพระคัมภีร์)

“แม้จะเนรคุณสักแค่ไหนก็ตาม อัลเลาะห์นั้น ทรงมั่งคั่ง ทรงได้รับการสรรเสริญเสมอ”

แต่นี้ คนเนรคุณพระมหากษัตริย์ แทนที่พระมหากษัตริย์จะตกต่ำลง แต่กลับสูงส่งขึ้น เพราะประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่ รู้สึกในพระมหากรุณาธิคุณ
ได้ลุกขึ้นมาชุมนุม เพื่อปกป้องสถาบัน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์


เรามีหน้าที่ต้องเทิดทูน และก็ต้องขอบคุณ ถ้าไม่มีพระมหากษัตริย์ เกิดสงครามกลางเมืองแน่นอน

เรามาดูในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ ย้อนพูดอีกนิดหนึ่ง พระองค์ทรงกำเนิดมาในราชวงศ์จักรี เป็นพระโอรสในรัชกาลที่ ๙

แล้วเรามาดูพระราชปณิธานในตอนที่เถลิงถวัลยราชสมบัติในพิธีราชาภิเษก
พระราชปณิธานที่ทรงประกาศออกมาก็คือ พระองค์ทรงสืบสาน รักษา และต่อยอด และจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาราษฎรตลอดไป

ทรงเหน็ดเหนื่อยขนาดไหน พระขนิษฐาบ้าง และก็เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์บ้าง ทั้งตั้งโรงพยาบาลจุฬาภรณ์

ทั้งหมดนี้ ก็เพียงเพื่อจะให้เห็นว่า ที่คนไทยเรามีความสุขอยู่ได้เนี่ย ก็ด้วยโครงการพระราชดำริของพระมหากษัตริย์ในทุกยุค-ทุกสมัย เราสัมผัสได้

ฉะนั้น วันนี้ …..
เมื่อมีคนจ้องจะล้มล้าง มันก็เป็นหน้าที่ ที่เราจะต้องแสดงความกตัญญู กตเวที เรียกในภาษาราชาศัพท์ว่า “สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ” อันหาที่สุดมิได้

เพื่อปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งตรงตามพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน
ไม่อย่างนั้น เราจะได้ชื่อว่า “เป็นคนเนรคุณ” ซึ่งมีผิด มีบาป ตามหลักการของศาสนาอิสลาม…คนเนรคุณเนี่ย

ครับ….
เป็นอันว่า คำพูดอื่นใดของผมในเรื่องนี้ ไม่มีความจำเป็นต้องกล่าวอันใดอีก คำบรรยายของท่านอาจารย์ “อาจารย์อับดุลฮากีม วันแอเลาะ” ประเสริฐยิ่ง

ตอบครอบคลุมครบทุกอย่างกระจ่างชัด เป็นที่ประทับใจยิ่ง ปีติใจ จึงนำมา “คุยกันวันอาทิตย์” นี่แหละครับ.


Written By
More from plew
รัฐบาล “ชักกระตุก” – เปลว สีเงิน
เปลว สีเงิน อาการ “ก่อนพัง” เป็นยังไง? ใครไม่เคยเห็น ก็ดูไว้ซะ “รัฐบาลเศรษฐา ๒” นี่แหละ! ๒๘ เม.ย.๖๗...
Read More
0 replies on ““คุยกันวันอาทิตย์” กับ เปลว สีเงิน “มุสลิมกับพระมหากษัตริย์ไทย””