ที่ “วุ่นวาย” ก็ที่ “ใจตัวเอง”

เปลว สีเงิน

หมู่นี้ผม “ขึ้นเหนือ-ล่องใต้” บ่อย
เห็นชีพจรแต่ละสังคมเมืองแล้ว ก็ต้องขอบคุณโควิด ในด้านว่า ทำให้เรามีโอกาสได้ “มองเห็นตัวเอง”
ตัวเองที่เห็น คือ…….
ภาพไทยยืนเท่ด้านเศรษฐกิจและสังคมที่ผ่านๆ มา จนหลงเข้าใจว่า เท่ด้วยลำแข้งและแรงขาตัวเอง นั้น
ความจริง เท่ด้วย “หลังพิง” ต่างชาติมาตลอดตะหาก

พอต่างชาติเซ เพราะเศรษฐซัด-โควิดซ้ำ
ไทยเราพลอยเสียหลัก หน้าคว่ำ-คะมำหงาย เนื่องจากพิงเขามาตลอดจนเพลินนั่นแหละ

รายได้เลี้ยงประเทศของไทย มาจาก ๒ ทาง อย่างที่ทราบกัน “ส่งออก-ท่องเที่ยว”
โควิดมาโครม คนไทยไม่ตาย แต่ “ส่งออก/ท่องเที่ยว” ตาย

เมื่อ ๒ รายได้หลักตาย……..
“เส้นเลือดใหญ่” ประเทศตีบตันทันที ผลประจักษ์คือ ทุกภาค-ทุกพื้นที่ประเทศ เป็นอัมพฤกษ์-อัมพาต ตามๆ กัน

สินค้าทุกชนิด ผลิตแล้วไม่รู้จะขายใคร
ต่างชาติไม่มา ร้านค้า-โรงแรม ผลิตภัณฑ์พื้นถิ่น ธุรกิจการบริการ ไม่รู้จะบริการใคร
หาใครโทษ-ใครด่าไม่ได้….
ก็ด่ารัฐบาล-ด่าประยุทธ์ ระบายลมในท้องไปวันๆ!

ตรงนี้ ทำให้เห็นเนื้อแท้ตัวเอง เมื่อเห็นแล้ว สิ่งต้องแก้ไขคือ ทั้งภาครัฐ-ภาคราษฎร์ ต้อง “ปรับทัศนคติ” ด้วยกันทั้งสองฝ่ายทันที

จากเน้นต่างชาติ เอาใจและบริการแต่ต่างชาติ ให้หันมาเน้นเอาใจและบริการคนไทยกันเองให้มากขึ้น

ทั้งด้านบริโภค ท่องเที่ยว ภาษี ตลอดถึงการจับจ่ายใช้สอย และการบริการ
ใครไปเที่ยวจีน จะเห็นแต่ “จีนเที่ยวจีน”
ทุกสถานที่ท่องเที่ยว แน่นขนัดด้วยจีนกันเอง หมื่นคน จะ เห็นหัวแดงไม่ถึงร้อยคน

เพราะอย่างนั้น จีนจึงไม่หวั่นไหว กับวันมามาก-มาน้อย ลำพังพวกเขากันเองเที่ยวก็ล้นอยู่แล้ว

กับท่องเที่ยวบ้านเรา บางพื้นที่น่าหมั่นไส้ จนบางทีสมน้ำหน้า ตรงที่ว่า “ราคาและการบริการ” เน้นคนต่างชาติชนิดไม่ยอมเงยหน้า

จนเป็นที่พูดกันว่า ตั้งราคาไว้ “ไล่กุ๊ย”!
กุ๊ย ในความหมายของเขา คือคนไทย ไม่ต้องการแขกคนไทย มุ่งเน้นขายลูกค้าต่างชาติเป็นหลัก

ตรงนี้ อาจไม่ใช่ “จุดอ่อน-จุดแข็ง” ทางท่องเที่ยวโดยตรงก็ได้ แต่ในความรู้สึกผม มันเป็น “จุดน่ารังเกียจ” เอามากๆ

มันฝังใจไทยด้วยกันมามาน ไม่ต้องพูดถึงโรงแรม ร้านค้า สถานบริการ แค่แท็กซี่-ตุ๊กๆ เจอบ่อยไป

ยะโส…คนไทยเรียก ทำเมิน ไม่รับคนไทย จะรับแต่ต่างชาติ

นี่คือ จุดหนึ่ง ที่ผม “สังเกตเก็บ” จากขึ้นเหนือ-ล่องใต้ ว่าภาคท่องเที่ยว-บริการ ต้อง “ปรับทัศนคติ” จากเน้นต่างชาติ มาเห็นหัวนักท่องเที่ยวไทยด้วยกันให้มากขึ้น

ไทยเรานี่แหละ “นักกิน-นักเที่ยว-นักช้อป” ตัวยง
ต่างชาติ โดยเฉพาะฝรั่ง กินร้อย, คนไทย กินหมื่น หรือใครจะเถียง?

อีกตัวตนที่เห็นชัด
แม้รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นไทยเที่ยวไทย บางจังหวัดที่เห็น ไทยก็ไปเที่ยวกันไม่มากและไม่ต่อเนื่อง

แต่บางจังหวัด-บางพื้นที่ โอ้โฮ…!
เครื่องบินต้อง “เสริมเที่ยวบิน” รถรา โรงแรม ร้านค้า มีแต่เต็ม กับล้น
มีทั้งเต็มเป็นช่วงๆ ทั้งเต็มสม่ำเสมอ ถามโรงแรมอิมพีเรียล แม่ฮ่องสอน เขาบอก “จองเต็มไปถึงมกรา.” โน่นแล้ว

จังหวัดที่คนไปคึกคัก สร้างความลื่นไหลให้เศรษฐกิจและสังคมพื้นที่ในช่วงโควิดดิสรัปท์ เท่าที่ผมสังเกต

นอกจาก “จุดเด่น-จุดดึงดูด” ทางสถานที่ท่องเที่ยวแล้ว จุดดึงดูดให้คนหลั่งไหลกันไป แบบ “นอกตำรา” คือ……….
“ความขลัง-ความศักดิ์สิทธิ์”!

อย่างนครศรีธรรมราช สมัยหนึ่ง “จตุคามรามเทพ” ช่วยให้เศรษฐทรัพย์ปริวรรตน์ ชนิดเอาช้างมาฉุดก็ไม่อยู่
มาตอนนี้ “ไอ้ไข่” ก็ปานนั้น

ทั้งธุรกิจการบิน การโรงแรม การค้า-การขายในนครศรีฯ โควิดยังส่ายหัว บอก…กูยอมแพ้ศรัทธาคน

ตอนนี้ ไอ้ไข่ช่วยชาติ ช่วยนครศรีฯ แฮปปี้ กระดี้-กระด้า เรือบินกางปีกมุ่งหน้านครศรีฯ ชนิด เต็มออก..เต็มออก ไม่รู้วันละกี่สิบเที่ยว!

อย่างวัน-สองวันนี้ เรือบินต้องขนคนจากดอนเมืองบ้าง สุวรรณภูมิบ้าง ชนิดเสริมเที่ยว ไปจังหวัดน่านเป็นหมื่นๆ คน
ไป “กระซิบรัก” เรอะ?

เปล่า…กระซิบกันจนหูเปียกอยู่แล้ว แต่ที่เป็นหมื่นๆ มุ่งไปน่านช่วงนี้ ก็จากพลังดึงดูดเหนือระบบสุริยจักรวาลคือ “ครูบาน้อย”
คนไปร่วมงาน “ครูบาน้อย”
หรือ พระณัฐวุฒิ กายา ญาณวิชโย วัดพระธาตุศรีสังฆรัตนคีรี ที่อำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน

ครูบาน้อย อายุแค่ ๓๐ กว่าๆ เป็นลูกศิษย์ “ครูบาชุ่ม” ร่ำลือว่าแก่กล้าตบะบารมี เข้าถ้ำบริกรรมภาวนาครั้งละเป็นเป็นปีๆ ล่าสุดนานถึง ๓ ปี

คนนับถือเลื่อมใสมาก มีงานแค่ละครั้ง ผู้คนจะไปนั่งเฝ้า-นอนเฝ้าเป็นหมื่นๆ คน

อย่างสัปดาห์ที่ผ่าน มีพิธีสถาปนาขึ้นเป็นครูบา ถึงแม้อายุจะน้อย แต่ด้วยคุณสมบัติครบถ้วนจึงได้รับการสถาปนา เป็นงานใหญ่ ลูกศิษย์จึงแห่กันไปชนิดการบินต้องจัดเที่ยวเสริม

นี่เป็นอีกตัวตนหนึ่ง ในด้านสร้างสภาพคล่องเข้าระบบเศรษฐกิจและสังคม ผ่านการท่องเที่ยว ด้านอิง “ศรัทธาและความเชื่อ” เป็นตัวนำ

สำหรับ “การท่องเที่ยว”
นอกเหนือจากสถานที่ท่องเที่ยว-พักผ่อนแล้ว “ความเชื่อ-ความศรัทธา” รวมถึงสถานที่ฝึกฝนสมาธิจิตในหลายๆ จังหวัด

ถ้าททท.นำการตลาดเข้าจับทางด้านบริการและความสดวก จะเป็นตัวเสริม “ไทยเที่ยวไทย” เพิ่มขึ้นได้ในหลายจุด-หลายพื้นที่

การฝึกฝนทางจิต ทีฝรั่งเรียก meditate พูดในภาษาการตลาด ต้องบอกว่า เป็นสินค้าตัวใหม่ที่มาแรงสำหรับเมืองไทย ที่คนต่างชาติตื่น กระหาย และมุ่งมากันมาก

กระทั่งกับคนไทยก็เถอะ …..
แต่ไม่รู้จะไปสำนักไหน ที่ไหน และที่ไหน-สำนักไหน จะมีวิปัสสนาจารย์สอนถูกจริตตน

อย่างวัดป่าถ้ำวัว ที่แม่ฮ่องสอน ผมนั่งรถผ่าน เขาบอก วัดนี้ เป็นที่รู้จักในหมู่คนต่างชาติ ว่าเป็น ๑ ใน ๕ แห่ง ของสำนักปฏิบัติธรรมที่ดีที่สุด

มีคนจาก ๑๔๐ ประเทศ ไม่ว่า ฝรั่ง ไทย จีน แขก เป็นพันๆ คน แต่ละปี บินมา แล้วมุ่งตรงเพื่อ meditate ที่วัดนี้!

มากันทีละมากๆ ในรูปแบบ “ทัวร์ปฏิบัติธรรม” ก็มีประจำ ผมหมายถึงก่อนโควิด
ผมว่า “ทัวร์ศรัทธา” นี่แหละ เป็นรูปแบบกระตุ้นการท่องเที่ยวสอดคล้อง ยุค New Normal ที่สุด


เป็นโอกาสเหมาะ “โละ-เลิก-ล้าง” ภาพลักษณ์ “ไทยขายเซ็กส์” ไปในตัว
“ทัวร์ศรัทธา” รูปแบบจะเป็นตัวกำหนด “คุณภาพคน” ที่เข้ามา ทั้งเป็นทัวร์กระจายลูกค้าจากที่กระจุกอยู่เฉพาะจุดตามเมืองให้ออกไปทั่วๆ

นี่แหละ จะเปลี่ยนจากพึ่งพา “สินค้าส่งออก” เป็น “สินค้านำเข้า” คือศรัทธาคน
ขณะเดียวกัน แปลง “สินค้านำเข้า” เป็นตัวกระจายรายได้ สร้างสภาพคล่องให้ระบบผ่านการท่องเที่ยว จาก “ทัวร์ศรัทธา” ที่เสริมเข้ามา ซึ่งจะได้ทั้งคุณภาพทั้งรายได้อีกทาง

แค่ “การท่องเที่ยว” นำความเก๋าทางการบริการเข้าไปจับในกลุ่มนี้ แล้วใส่การตลาดเข้าไปสร้างลูกค้าใหม่ ในตลาดที่กว้างขวางอยู่แล้วเท่านั้น

คนท่องเที่ยวศรัทธากับโควิด ดูเหมือนญาติกันแต่ปางก่อนยังไงไม่รู้
คือเท่าที่สังเกต คนไปไหนๆ ด้วยพลังศรัทธาขับเคลื่อน ไม่เห็นใครติดโควิด!?

เพราะ “คนคุณภาพ” จะเป็นคนอยู่ในกฎ-ระเบียบ สวมหน้ากากอนามัย ไม่คลุกคลีหมู่มากในลักษณะ “มั่วสุม-ส้องเสพ”

ไทยเปิดการเดินทาง-ท่องเที่ยว Travel Bubble ใช้ทัวร์ศรัทธาเจาะตลาดทั้งในและนอก จะเข้าสเปกที่สุด!


เอามนุษย์พันธุ์ ๓ นิ้ว อย่าง ธนาธร-ปิยบุตร-พรรณิการ์ รวมทั้ง อานน์-เพนกวิน-รุ้ง-ไผ่ ไปเข้าคอร์ส meditate ซะบ้าง ผมว่าอาการวิปลาสทางจิตคลายได้แน่
คุยซะยาว พอจะเข้าเรื่อง หมดหน้ากระดาษซะแล้ว!

มีข่าวดีมาบอกนายกฯ ตู่ ให้ดีใจนิด
โครงการ “คนละครึ่ง” เจ๋งมากครับ ผมสำรวจตามแผงค้า ตามตลาดร้านค้าย่อยดูแล้ว ทั้งคนขาย-คนซื้อ win-win พอใจ ถูกใจทั้งสองฝ่าย

โดยเฉพาะร้านค้า บอกว่าดีมาก ที่ไม่คนละครึ่งกับห้าง กับเซเว่น ทำให้คนมาจับจ่ายใช้สอยกับร้านค้าชาวบ้านโดยตรง
ที่สำคัญ คนซื้อจ่ายครึ่งวันนี้ รุ่งขึ้น รัฐให้อีกครึ่งทันที ไม่ต้องรอชาตินี้-ชาติหน้าจนเหงือกแห้ง

เอ้า….จบ
หาโอกาสเที่ยวตจว.กันให้สนุก ลุกนั่งกันให้สบาย ไม่ต้องไปเครียดกับ “เหี้ยตะกายเมือง” ให้รกสมองหรอก

ถ้าโลกนี้ “ไม่มีมาร” ก็ไม่มี “พระพุทธองค์”
“ชาติ-ศาสน์-กษัตริย์” กับ “ประเทศไทย” ก็ประมาณนั้น เชื่อผมเหอะ!


Written By
More from plew
กฎหมายกับกองโจร – เปลว สีเงิน
เปลว สีเงิน บ้านเมืองป่วยไข้ด้วยโควิดรุมเร้า ก็ดีไปอย่าง ทำให้เข้าใจคนไทยดีขึ้น ว่าคนไทยวันนี้ ทั้งรุ่นเก่า-รุ่นใหม่ มีทัศนคติกับชาติบ้านเมืองตัวเองอย่างไร? รัก หวงแหน มีภัยผนึกใจสู้ ไทยต้องไม่ทิ้งกัน...
Read More
0 replies on “ที่ “วุ่นวาย” ก็ที่ “ใจตัวเอง””