เฮ้อ… “ความหวังดีท่านสส.”

เปลว สีเงิน

“การฟังไม่ได้ศัพท์แล้วจับไปกระเดียด”นี่ มันน่ากลัวจริงๆ!
อย่างเช่น เรื่องการตั้ง “คณะกรรมการสมานฉันท์”
พอประธานรัฐสภา “นายชวน หลีกภัย” บอกจะเชิญอดีตนายกฯ และอดีตประธานรัฐสภามาให้ความคิดเห็น ซึ่งตอนนี้ตกปากรับคำแล้ว ๓ ท่าน เท่านั้นแหละ
เซ็งแซ่!
พอเอ่ย ๓ ชื่อ ว่าตกปากรับคำจะมาร่วม มีนายอานันท์ ปันยารชุน, นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ และอีกท่าน “นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์” ที่ยังติดต่อไม่ได้ เท่านั้นแหละ

จากซุบซิบ เป็นฮือฮา ตามมาด้วยเกี๊ยะปลิวว่อน!

ปลิวไปที่ประธานชวน จวกกันยับ เป็นยาหมดอายุ เอามาทำไม?

คงเห็นกันแล้ว ว่อนในโซเชียลมีเดีย ถ้าผมเป็นประธานชวนก็คงน้อยใจ

สู้อดทน พยายามทุกวิถีทาง เพื่อประคับ-ประคองสถานการณ์ ไปสู่สังคม “ประนี-ประนอม”

แต่ดูเหมือน แต่ละคน-แต่ละฝ่าย จะ “เอาใจตัวเอง” เป็นที่ตั้ง ไม่ฟังอีร้าค่าอีรม พลุ่งพล่าน สาดใส่ ชนิดไม่ปรานี-ปราศรัย นึกว่าโก้

ผมก็เห็นใจท่านประธานชวนนะ
มุ่งมั่น เค้นหาทางออกให้สังคมชาติ กลับถูกรานน้ำใจ ทั้งที่เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง กลับต้องเอากระดูกแขวนคอตัวเองเช่นนี้

เจ็บกายแค่ผิวหนัง ผิดหวังในคนนี่ซี เจ็บลึกถึงหัวใจ

ระดับชาวบ้าน ตะโกนนั่น-นี่ พอเข้าใจได้ในวิสัยทัศน์ท่านผู้ชมบนอัฒจันทร์ ซึ่งอยู่วงนอก

แต่เมื่อวาน (๔ พย.๖๓) นายสิระ เจนจาคะ ถือเป็นคนวงใน อยู่บนเวทีในฐานะสส.ซ้ำเป็นสส.พลังประชารัฐ “พรรครัฐบาล” กลับตะคอกใส่ประธานชวน

น่าเกลียดหรือไม่ เหมาะสมหรือไม่ สำหรับผม มันใช่อยู่แล้ว แต่กับคนอื่นๆ มีความรู้สึกตอบสนองอย่างไร ใคร่ครวญเองละกัน

ลองอ่านที่สส.สิระเขาพูดดูนะ……
“ผมไม่เห็นด้วยที่จะเชิญบุคคลเหล่านี้เข้ามาร่วมอยู่ในคณะกรรมการปรองดองฯเพราะนายอานันท์ บอกว่าอยากให้พล.อ.ประยุทธ์ นายกฯ ลาออก
ถามว่า “ใครจะมาเป็นนายกฯแทน” หรือว่า “ท่านหวังจะเป็นนายกฯ ส้มหล่นเหมือนที่ผ่านมา”?

ส่วนนายอภิสิทธิ์ ที่บอกไม่เอาพล.อ.ประยุทธ์ พอพล.อ.ประยุทธ์ได้เป็นนายกฯ นายอภิสิทธิ์ก็เข้ามาเป็นส.ส.ระยะหนึ่งแล้วลาออก
หมายความว่า ท่านไม่ยอมรับระบบรัฐสภาหรือไม่?

ขณะที่นายสมชายนั้น สังคมรู้ว่า ฝักใฝ่ฝ่ายใด เป็นคนของใคร จึงไม่มีความน่าเชื่อถือ

“ผมอยากถามไปถึงนายชวน ว่าใช้อำนาจอะไรเพียงคนเดียวในการตั้งคณะกรรมการปรองดองฯ ทั้งที่เรามีสภา เหตุใดจึงไม่ขอความเห็นจากสภาว่า จะออกแบบคณะกรรมการชุดนี้อย่างไร

ท่านคิดว่า บ้านเมืองนี้เป็นระบอบประชาธิปไตยหรือไม่ และยังมีสภาหรือไม่ ผมเห็นว่า บุคคลที่เตรียมเชิญเข้ามาล้าสมัย เก่าแก่ หมดสภาพที่จะมาทำงานในจุดนี้

ผมจึงไม่เห็นด้วย ไม่เหมาะสม ที่จะเป็นกรรมการปรองดอง แต่ถ้าเอาไปดองเค็มใส่เกลือจะเหมาะกว่า”

“เด็กที่มาชุมนุม ต้องการอนาคต แต่กลับเอาคนอายุ ๘๐-๙๐ ปี เดินไม่ไหว เก่าแก่เกินไป มาใช้ในยุคนี้ หากเอาไปดองเค็ม ผมจะเห็นด้วย

วันนี้ เรามีสภาควรให้ส.ส.เป็นคนออกแบบ ไม่ว่าจะเป็นตัวกรรมการหรือจำนวน เพื่อหาทางออกประเทศ ไม่ใช่คนโบราณ
เราต้องดูผู้ชุมนุมว่าเขาเรียกร้องอนาคตไม่ใช่เอาเรื่องอดีตมาคุยกัน ท่านประธานรัฐสภา ทำไมตัดสินคนเดียว

ท่านต้องพิจารณา คิดถูกหรือคิดผิด อยากให้ตัดสินใจโดยผู้แทน ไม่ใช่บุคคลเพียงคนเดียว ที่เสนอชื่อใครเป็นกรรมการก็ได้”

ด้านความเห็น เป็นสิทธิ์ของท่าน แต่ด้านถ้อยคำ เป็นสิทธิสาธารณะต้องพูดจากัน
กับระดับประธานรัฐสภา ในฐานะท่านเป็นสส.สมควรใช้กิริยา-วาจา ให้เกียรติทั้งตัวเอง และทั้งกับตัวท่านประธานรัฐสภาด้วย
และมีอย่างหนึ่ง เข้าใจว่าสส.สิระก็น่าสำนึกได้อยู่แล้ว ในฐานะคนพรรคแกนรัฐบาล ว่า

รัฐบาลอยู่ถึงวันนี้ได้…….
ส่วนหนึ่ง มาจากการทำหน้าที่ ไม่บีบรัด ไม่มุโขโลกนะ ของท่านประธานชวน ยึดกติกา แต่ไม่ถือดีในอำนาจในการทำหน้าที่
การประคับ-ประคองรัฐสภา “ขิงรา-ข่าแรง” ให้อยู่รอด นั่นก็เท่ากับประคับ-ประคองรัฐบาลให้อยู่รอดด้วย!

การแสดงความเห็นชนิด “จิกหัวด่า” ทั้งประธานชวน และอดีตนายกฯ ๒-๓ ท่าน อย่างนั้น
ไม่ใช่ภาพ “ผู้ทรงเกียรติ” ที่สังคมมุ่งหวังจะได้เห็นเลย

ที่ผมพูดข้างต้น “ฟังไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียด” ในเรื่องนี้ เป็นอย่างนั้นจริงๆ

เพราะที่นายกฯ ชวนบอก ไปทาบทามอดีตนายกฯ มาร่วมนั้น ก็ทึกทักกันทันทีว่า จะให้ท่านเหล่านั้นมาออกแบบสมานฉันท์

ไม่ใช่ครับ…
โปรดตั้งสติ และทบทวนคำประธานชวนแจกแจงให้ถ้วนถี่ก่อนจะแยกเขี้ยวใส่
การฟังแค่ ๓ ชื่ออดีตนายกฯ แล้วใช้ความชอบ-ไม่ชอบฟันฉับ ว่าเป็นยาหมดอายุ เป็นคนแก่เกินแกง เคยมีทัศนคติปฏิเสธนายกฯ ประยุทธ์ ไม่เอา…เราไม่ฟัง นั้น

อย่ารวบรัดถึงขนาดนั้นเลย เตียวหุยน่ะเก่ง แต่ทำให้กองทัพต้องพ่ายแพ้หลายครั้ง ไม่เพราะความหุนหันพลันแล่นดอกหรือ?

เรื่องนี้ เท่าที่ผมฟัง ประธานชวน เชิญมาให้ความคิดเห็นเท่านั้น
ไม่ใช่ให้มาเป็นตัวชี้กฎ-กำหนดกรอบสมานฉันท์ และเป็นคณะกรรมการฯ ทันทีทันใด อีกทั้งแต่ละอดีตนายกฯ จะยอมเป็นหรือไม่ ในทางปฏิบัติ ยังไปไม่ถึงขนาดนั้น
แต่มโนกันไปไกล จนแทบกู่ไม่กลับกันแล้ว!

ที่ว่า เรื่องนี้ ต้องให้สภาเป็นผู้ออกแบบ ไม่ใช่ประธานชวนหรือใครคนนอกมาออกแบบ นั้น
ก็ใช่ไง…..

สมาชิกรัฐสภาเองนั่นแหละ คราวอภิปรายไม่ลงมติเมื่อ ๒๖-๒๗ ตค. เสนอให้ตั้งคณะกรรมการหาทางออก นายกฯ ก็เห็นชอบ และให้รัฐสภาเป็นเจ้าภาพ

ประธานชวน ก็ขอแรงสถาบันพระปกเกล้าให้ทำหน้าที่ออแกไนเซอร์ เพราะมีเครื่องไม้-เครื่องมือ พร้อม

ทางสถาบัน โดยเลขาฯ “นายวุฒิสาร ตันไชย” บอก ขั้นแรก “ต้องสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้คู่ขัดแย้งก่อน”

ประธานชวนก็เชิญผู้นำแต่ละฝ่ายมาเคาะดูท่าที ว่าจะร่วม/ไม่ร่วมคณะกรรมการสมานฉันท์ขนาดไหน

ท่านบอก รูปแบบคณะกรรมการฯ ที่ตั้งเป็นตุ๊กตาในการหารือกับสถาบันพระปกเกล้า มี ๒ รูปแบบ
คือแบบ คณะกรรมการ ๗ ฝ่าย ตามที่หัวหน้าประชาธิปัตย์เสนอ

กับแบบ “มีคนกลาง” โดยเสนอจากทุกฝ่ายหรือให้ประธานรัฐสภาไปสรรหาบุคคล
หรือประธานรัฐสภา ตั้งประธานคณะกรรมการและให้ประธานกรรมการไปคัดเลือกบุคคลคัดเลือก

ประธานชวนก็บอกชัด…..
จะเอาทั้ง ๒ แบบผสมผสาน โดยขั้นแรก ท่านจะเชิญอดีตนายกฯ, อดีตประธานรัฐสภามาให้ความเห็น

ส่วนฝ่ายอื่นๆ รวมทั้งคู่ขัดแย้งที่เห็นในถนน ที่เป็นอีแอบตามซอกหลืบ ต่างๆ นานา ทางสถาบันก็จะไปเชิญมาเคาะดูท่าทีว่าจะเอายังไงกันบ้าง

สรุปแล้ว ทั้งหลาย-ทั้งปวง แค่อยู่ในขั้นตอน “สร้างพื้นที่ปลอดภัยให้คู่ขัดแย้ง” ก่อนเท่านั้น

ยังไปไม่ถึงและยังไกลขั้นตอน ว่าตกลงเอาโมเดลไหน ฝ่ายไหน ใครบ้าง มาเป็นคณะกรรรมการสมานฉันท์ และมีรูปแบบอย่างไรที่จะทำให้ทุกฝ่ายสรุป ณ จุดสมานฉันท์!


ฉะนั้น……..
อย่าเพิ่งโฉงเฉง เฉ่งปี๋ท่านประธานชวนด้วยคิดเอา-นึกเอา ว่าท่านชวนจะคิดไม่ซื่อ

นี่ถ้าประธานชวนเกิดรำคาญ เก่งกันนัก งั้น…ฉันวางอุเบกขา แค่นั้น หายนะระบบรัฐสภา จะนำโกลาหล ด้วยมีคนถือเป็นเหตุ เผาลงกาทันที!

ความคิดนกกระจอกมันไม่เท่านกอินทรีเห็นจะจริง ผมมองว่า การเชิญอดีตนายกฯมาให้ความเห็น เป็นแต้มหมากแหลมคมมาก

ไม่มีใครเอาไม้กลมมากลึง มีแต่เอาไม้เหลี่ยมมากลึงให้กลม การสมานฉันท์ ไม่ได้หมายถึงให้ทุกคนต้องคิดเห็นไปในทางเดียวกัน

แต่หมายถึงการจัด “ความเห็นต่าง” ในเรื่องเดียวกันให้เรียงตัวเข้าสู่กระบวนการสร้างสรร แทน “ทัศนคติปฏิปักษ์” มุ่งหักร้าง-ทำลายซึ่งกันและกัน


การยอมรับในความเห็นต่าง คือสมานฉันท์ ของสังคมเชิงชั้นสังคมปัญญา
การตีกรอบให้ทุกคนต้องเห็นตามกัน ไม่ใช่สมานฉันท์ มันคือการบีบคั้น ของสังคมเชิงชั้นสนตะพาย

การเชิญอดีตนายกฯ ที่มีทัศนคติลบกับนายกฯ ประยุทธ์มาให้ความคิดเห็นนั่นแหละดีแล้ว

จะได้ฟังเขา ว่าที่ไม่ดีนั้น แบบไหน และแบบไหนที่ว่าดี จะได้เป็นข้อมูลสรุปสู่ประเด็นแสวงหาหนทางที่ยอมรับกันได้หรือไม่ได้เป็นรูปธรรมชัดเจนขึ้น

ยาทุกอย่างในโลก ถ้าขาดยาดำคือยาประเภทขมแทรก ใช้รักษาโรคไม่ได้หรอก!

อย่าลืม เมื่อเป็นคณะกรรมการสมานฉันท์ ไม่มีเพียงแค่อดีตนายกฯ เท่านั้น ยังประกอบด้วยคนหลายฝ่าย ซึ่งไม่มีใครยอมอยู่ใต้ความคิดใครหรอก

แต่ด้วยเหตุและผล ด้วยจริงที่ควรเป็น ด้วยกฎ-กติกาสังคม คณะกรรมการฯซึ่งได้ชื่อว่า “ชนชั้นวิญญูชน” ย่อมไม่ดื้อด้านที่จะขึ้นไปอยู่เหนือสิ่งเหล่านั้น


และต้องไม่ลืม………
สมมติ คณะกรรมการฯ มีผลสรุปออกมาแล้ว ก็ใช่ว่า ต้องเป็นไปตามนั้น มันแค่ผลสรุป ผลศึกษา ยังต้องผ่านมติสมาชิกรัฐสภาอีกขั้น

นั่นก็ยังไม่สำคัญเท่า ๑..๒..๓..๔..๕ ที่ออกมานั้น ต้องผ่านด่านประชาชน คือ
ต้องทำ “ประชามติ” ก่อน ว่าที่เห็นชอบ จะเอาอย่างนั้น-อย่างนี้กันนั้น ประชาชนเอาด้วย-เห็นด้วยมั้ย?

ในเมื่อบอกว่า “ราษฏรเป็นใหญ่ในแผ่นดิน” ก็ต้องให้ราษฏรคนมี ๕ นิ้ว ออกเสียงชี้ขาด คน ๒ นิ้ว ๓ นิ้ว นิ้วเดียว ชี้ขาดไม่ได้!

แต่สรุปด้านความเห็นผม เพื่อไม่ให้กาน้ำที่เดือดระเบิด จะเจาะรูให้มันได้ระเหย แค่นี้ก็ดีแล้ว ไปหวังอะไรให้มันมากไปเล่า?

ก็เห็นพวกคางคกหัวฝน ยืน ๓ ขา ต้องนายกฯ ลาออก ต้องเขียนรัฐธรรมนูญตามต้องการ ต้องล้มพูดเลี่ยงๆ ว่าต้องปฏิรูปสถาบันกษัตริย์สถานเดียว
ไม่งั้น..ไม่คุย ลุยลูกเดียว!

ก็ชัด…สามสัสร่างทรงไอ้สัส ไม่ต้องการสมานฉันท์
ฉะนั้น ก็จะบอกว่า…….
หัดเป็นคนโง่ไว้บ้าง แล้วจะฉลาด!


Written By
More from plew
“สารอันตรายกับสายน้ำท่วม”
ที่”อุบลราชธานี”….. “กองทัพน้ำใจ” กับ “กองทัพน้ำท่วม” ขับเคี่ยวกันมาเป็นสัปดาห์แล้ว ตอนนี้ ดูเหมือน “กองทัพน้ำ” กำลังอ่อนแรง ในขณะที่ “กองทัพน้ำใจ” ยิ่งท่วมนาน...
Read More
0 replies on “เฮ้อ… “ความหวังดีท่านสส.””