ราเมศ ยก ผลการศึกษา กมธ. วิสามัญ ตั้งต้นแนวทางแก้รัฐธรรมนูญ

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงผลการศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหาหลักเกณฑ์และแนวทางการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ว่า

ถือได้ว่าเป็นสรุปผลการศึกษาที่จะเป็นฐานข้อมูลตั้งต้นในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ เพื่อให้รัฐธรรมนูญเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น
ผลการศึกษาของ กมธ. ชุดดังกล่าวจะเห็นได้ว่าเป็นการรวบรวมทั้งข้อดีและข้อเสียของรัฐธรรมนูญทำให้สังคมได้เห็นภาพชัดขึ้นว่ามีสาระของรัฐธรรมนูญส่วนไหนบ้างที่ต้องทำการแก้ไขเพื่อให้สอดคล้องกับความเป็นจริง และที่สำคัญผลการศึกษาจะมีการรวบรวมทุกความคิดเห็นไว้ค่อนข้างครบถ้วนไม่มีการตัดประเด็นใดทิ้งไป


และต้องยอมรับว่า กมธ. ชัดดังกล่าวมีการร่วมกันของทุกพรรคการเมืองรวมถึงบุคคลที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันคิดจนตกผลึก และยังรับฟังเสียงของประชาชนในทุกกลุ่ม ข้อมูลต่างๆเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาและจะเป็นประโยชน์ต่อการตั้งต้นแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นอย่างมาก ก็ต้องขอชื่นชมการทำหน้าที่ของ กมธ. ชุดดังกล่าว
นายราเมศยังกล่าวต่อว่า ต้องขอขอบคุณ กมธ. ที่ได้รับความคิดเห็นของพรรค ที่ได้นำเสนอต่อ กมธ. และได้รับการยอมรับตรงกันหลายฝ่ายว่าเป็นประเด็นปัญหา ซึ่งจะไม่มองแค่เรื่องการเมืองเพียงอย่างเดียวแต่จะมองถึงประโยชน์ของพี่น้องประชาชนด้วยเช่นเรื่องสิทธิและเสรีภาพซึ่งเป็นหลักประกันขั้นพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นสิทธิชุมชน สิทธิในกระบวนการยุติธรรม สิทธิของผู้บริโภค สิทธิในที่ดินทำกิน สิทธิของผู้พิการและผู้ยากไร้ รวมไปถึงประเด็นระบบเลือกตั้ง การถ่วงดุลการตรวจสอบเรื่องทุจริต และที่สำคัญเรื่องบทบาทอำนาจหน้าที่ของ สว. ในบทเฉพาะกาล
ทั้งหมดนี้เชื่อว่าหากมีการขับเคลื่อนในสภาร่างรัฐธรรมนูญหรือ สสร. จะเกิดเป็นผลสำเร็จได้ อาจใช้เวลาบ้าง แต่หากเราต้องการประชาธิปไตยที่สมบูรณ์มากยิ่งขึ้นก็ต้องช่วยกันเพื่อให้ประเทศเดินได้ควบคู่กันไป
Written By
More from pp
“รองฯ อนุทิน” เป็นผู้แทนรัฐบาลรับมอบชุดตรวจ Antigen Test Kit จำนวน 1.1 ล้านชุด และเครื่องช่วยหายใจ 102 เครื่อง ที่รัฐบาลสวิตส์เซอร์แลนด์บริจาคแก่ประเทศไทย
วันที่ 29 ก.ค. 2564 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในช่วงเช้าของวันนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี...
Read More
0 replies on “ราเมศ ยก ผลการศึกษา กมธ. วิสามัญ ตั้งต้นแนวทางแก้รัฐธรรมนูญ”