นายนิโรธ สุนทรเลขา ส.ส. นครสวรรค์ เขต 6 พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วยนายสัญญา นิลสุพรรณ ส.ส. นครสวรรค์ เขต 3 พรรคพลังประชารัฐ พันตำรวจโทฐนภัทร กิตติวงศา ส.ส. จันทบุรี เขต 1 พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะรองกมธ.ฯ และพลตำรวจเอกยงยุทธ เทพจำนงค์ ส.ส. พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะที่ปรึกษากมธ.ฯ เข้าร่วมประชุมกมธ.การตำรวจ โดยมีวาระการประชุมเพื่อพิจารณาขั้นตอนการดำเนินการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรณีที่อัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องคดีที่นายวราวุธ อยู่วิทยา หรือ บอส ในข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
จากนั้น เมื่อเสร็จสิ้นการประชุม นายนิโรธ แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนว่า กมธ.การตำรวจ ได้ซักถามเจ้าหน้าที่ตำรวจในกรณีเมาแล้วขับ โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยพนักงานสอบสวนได้สอบสวน ระบุว่า ไม่สามารถตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ได้ในขณะที่เกิดเหตุ
ดังนั้นการตรวจวัดแอลกอฮอล์จึงล่าช้า เนื่องจากว่าผู้ต้องหาขับรถหนีไปยังบ้าน และเจ้าที่ตำรวจได้นำกำลังไปล้อมบ้านไว้แล้ว แต่ยังไม่มีหมายจับ และผู้ต้องหาไม่ยอมออกมามอบตัว
ต่อมาเช้าวันรุ่งขึ้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ขอหมายศาลและเข้าตรวจค้นบ้านของผู้ต้องหา เพื่อนำผู้ต้องหามาตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ แต่ระยะเวลาการตรวจวัดแอลกอฮอล์กับช่วงเวลาที่เกิดห่างกันถึง 10 ชั่วโมง ขณะเดียวกัน มีประเด็นข้อกฎหมายมีอยู่ว่า ต้องตรวจวัดแอลกอฮอล์ไปในขณะที่เกิดเหตุจึงสามารถนำคดีขึ้นสู่ศาลและสามารถสั่งฟ้องได้
นายนิโรธ กล่าวว่า ส่วนประเด็นความเร็วรถนั้น สำนักงานจราจร ได้ใช้หลักวิชาฟิสิกส์ การประทะของวัตถุ เพื่อตรวจสอบรถทั้ง 2 คัน พบว่า ความเร็วรถประมาณจะประมาณ 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขณะที่หน่วยงานกองพิสูจน์หลักฐาน และคณะอาจารย์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ใช้หลักวิศวะคำนวณจากกล้องวงจรปิด คำนวนความเร็ว พบว่า ความเร็วรถประมาณจะประมาณ 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
นอกจากนี้ มหาวิทยาพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ใช้หลักวิศวะคำนวณจากกล้องวงจรปิดคำนวนความเร็ว และหักลบเลนซ์กลมโค้งจากกล้องวงจรปิด พบว่า ความเร็วรถประมาณจะประมาณ 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
“เนื่องจากมีความเห็นขัดแย้งอัยการและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดังนั้นจึงดชิญกองพิสูจน์หลักฐานและคณะอาจารย์จากจุฬาฯ มาให้ปากคำเพื่อสอบสวนอีกครั้ง
ต่อมายอมว่าอาจจะคำนวนผิดพลาด เพราะหักลบเลนซ์กลมโค้งจากกล้องวงจรปิด ” นายนิโรธ กล่าว
นายนิโรธ กล่าวต่อว่า อัยการมีความเห็นว่าควรหาประจักษ์พยานบุคคล จึงสั่งสอบเพิ่มเติม 2 คน คือ นายจารุชาติ มาดทอง ซึ่งเป็นพยานที่อยู่ในสำนวน และระบุว่า ไม่ได้มีการขับรถเร็ว ต่อมาผู้เสียหายได้เรียกร้องให้พนักงานสอบสวนให้สอบสวนพยานเพิ่มเติมเพื่อขอความธรรม คือ พลอากาศโท จักกฤช ถนอมกุลบุตร แต่ไม่ได้สอบสวนพยานเพิ่ม เนื่องจากสำนวนเสร็จสิ้นและส่งฟ้องต่ออัยการแล้ว หากต้องการสอบสวนเพิ่มต้องร้องขอความเป็นธรรม เพื่อให้พนักงานสอบสวนสอบพยายานเพิ่มเติมและกำหนดประเด็นตามอัยการกำหนด
นายนิโรธ กล่าวด้วยว่า กมธ.การตำรวจ มองว่า คดีนี้ไม่ถูกต้องและไม่ชอบธรรมกับสังคม ดังนั้นกมธ.การตำรวจจึงตั้งข้อสังเกตกับหนักงานสอบสวนว่า ควรตรวจสอบรายละเอียดที่ยังขาดบกพร่อง เพื่อให้ประชนได้รับความกระจ่าง
ซึ่งสอดคล้องนายกรัฐมนตรี สั่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบในคดีนี้ อีกทั้งยังมองว่า ในเรื่องอายุความที่เจ้าหน้าที่ตำรวจตั้ง 5 ข้อหานั้น มีอายุความที่แตกต่างกัน และยังไม่สามารถนำตัวผู้เสียหายหลบหนีไปยังต่างประเทศมาฟ้องตามข้อหาได้ จึงหมดอายุความ นี่จึงเป็นช่องโหว่ของกฎหมาย