นางพิชชารัตน์ เลาหพงศ์ชนะ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อพรรคพลังประชารัฐ อภิปรายชี้ให้เห็นถึงผลกระทบที่ประเทศได้รับ จากสถานการณ์โควิด-19ซึ่งจากตัวเลขของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุ จีดีพี ของประเทศไทย จะมีการขยายตัวติดลบร้อยละ 5 – 6 ในปี 2563 ซึ่งเป็นการขยายตัวที่ต่ำที่สุด ตั้งแต่เกิดวิกฤติปี 40
และการควบคุมการแพร่ระบาดตาม พรก. ฉุกเฉิน ยังทำให้บางกิจการปิดตัวลง เศรษฐกิจเกิดผลกระทบ ประชาชน ผู้ประกอบการขาดรายได้ ในขณะที่ต้องมีค่าใช้จ่ายต่างๆอยู่ นอกจากนี้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี คือกลุ่มที่ได้รับผลกระทบสูงสุด
ดังนั้น ขอสนับสนุนการกู้เงินอย่างเต็มที่ของรัฐบาล เพราะรัฐบาลมีความจำเป็นที่จะต้องหางบประมาณมาเยียวยา ช่วยเหลือ พยุงเศรษฐกิจ ไม่ให้ล่มสลาย
นางพิชชารัตน์ ยังอภิปรายชื่นชมบุคลากรทางการแพทย์ที่ช่วยรักษาผู้ป่วยได้อย่างดีเยี่ยม จนได้รับการชื่นชมจากนานาประเทศ ในการรักษาผู้ป่วยให้กลับบ้านได้เป็นจำนวนมาก. ซึ่งถือเป็นความภาคภูมิใจ
นอกจากนี้ ความสำเร็จในการควบคุมสถานการณ์ยังเกิดจากการประกาศใช้พรก.ฉุกเฉิน และการบริหารงานโดยนายกรัฐมนตรี ทำให้การบริหารงานแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างบูรณาการเป็นเอกภาพ คล่องตัวและเกิดผลโดยเร็ว
ขณะที่การเยียวให้กับประชาชนทุกกลุ่ม นายกรัฐมนตรี ได้ทำงานไม่หยุดพัก มีการเดินสายพบกับประชาชนทุกกลุ่มเพื่อรับฟังปัญหาที่เกิดขึนอย่างแท้จริง และสิ่งนี้คือตัวอย่างที่ดีของผู้นำประเทศ
ส่วน พรก.กู้เงิน 3 ฉบับ ได้มีการเขียนแผนชัดเจน กำหนดการดำเนินตามแผนงาน มีการประเมินผล และให้เป็นไปตาม พรบ.วินัยการเงินการคลังของประเทศ
โดยกระทรวงการคลังได้ระบุชัดเจนด้วยว่า ไม่จำเป็นต้องกู้ทั้งหมด และหากคนไทยร่วมมือกันควบคุมโรคไม่ให้แพร่กระจาย มาตรต่างๆผ่อนคลาย เศรษฐกิจเริ่มหมุนเวียน และงบประมาณปี 64 พียงพอก็ไม่จำเป็นต้องกู้ให้ครบทั้ง 1ล้านล้านบาท
นางพิชชารัตน์ ยังเห็นว่าแม้ความรุนแรงของเชื้อโควิด-19 จะทำให้เกิดผลกระทบ แต่ยังมีความดี ประชาชนมีการแบ่งปันกัน และการปิดประเทศทำให้เรารู้ว่าประเทศมีศักยภาพในการผลิตอาหารช่วยคนในประเทศ.
และเชื่อว่าหลังสถานการณ์โควิด-19 เราจะได้เปรียบประเทศอื่น และมั้นใจว่าการบริหารประเทศภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี จะสามารถนำพาประเทศไปสู่จุดหมาย