23 พ.ค.63 คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยนายวิตต์ ก้องธรนินทร์ นายตรีรัตน์ ศิริจันทโรภาส อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย นายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย พร้อมทีมงานลงพื้นที่เขตสะพานสูง เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร มอบถุงยังชีพ-ข้าวสาร และเปิดจุดบริการข้าวกล่อง ให้กับประชาชน ที่ได้รับความเดือดร้อนจากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
พร้อมพูดคุยเพื่อให้กำลังใจ และสอบถามถึงผลกระทบจากมาตรการต่างๆ และการเยียวยาของภาครัฐ โดยประชาชนส่วนใหญ่ ได้สะท้อนความยากลำบากที่ต้องยุติการทำงานในช่วงที่เกิดการระบาดและถูกเลิกจ้างจำนวนมาก แม้ธุรกิจบริการ สถานที่ทำงาน ที่เคยประกอบอาชีพจะเริ่มกลับมาให้บริการแล้วก็ตาม และส่วนใหญ่ก็ยังมีปัญหาขาดรายได้
ขณะที่ คุณหญิงสุดารัตน์ ระบุภายหลังการลงพื้นที่ว่า ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องกำลังเป็นปัญหาใหญ่สำหรับประชาชนทุกหย่อมหญ้า รัฐบาลต้องเร่งดำเนินการใน 3 เรื่องหลักคือ
1) เร่งเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐบาลที่ให้ปิดเมือง ปิดกิจการ
2) เร่งช่วยเหลือธุรกิจรายย่อยเอสเอ็มอีก่อนที่ธุรกิจเหล่านี้จะหมดลมหายใจ
3) เร่งปลดล็อกเปิดเมือง เปิดกิจการอย่างปลอดภัย โดยให้มีข้อกำหนดทางสาธารณสุขที่ชัดเจน
เราต้องชั่งน้ำหนักในการออกมาตรการในการควบคุมโรคให้เหมาะสม กับความเสียหายทางด้านเศรษฐกิจที่กำลังเป็นปัญหาอย่างหนัก โดยเฉพาะในขณะนี้ตัวเลขผู้ติดเชื้อได้ลดลงอย่างมากและต่อเนื่อง จึงถึงเวลาที่จะปลดล็อก เปิดให้โอกาสประชาชนกลับมาทำมาหากินได้
ถึงวันนี้จึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินอีกต่อไปอีก เว้นแต่จะนำเรื่องโควิด-19 มาเป็นข้ออ้าง โดยรัฐบาลอาจห่วงความมั่นคงของตัวเองมากเกินไปจึงใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเป็นเครื่องมือ จะเห็นได้จากการปิดกั้นการแสดงออกในโอกาสครบรอบ 6 ปีรัฐประหาร ซึ่งไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับโรคติดต่อ วิธีการเหล่านี้จะยิ่งทำให้เกิดปัญหาใหม่และความขัดแย้งในสังคมเพิ่มขึ้น
ขณะเดียวกัน พรรคเพื่อไทย อยู่ระหว่างการประชุมหารือถึงแนวทางการอภิปราย พ.ร.ก.กู้เงิน 1.9 ล้านล้านบาท ตั้งแต่ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาเพื่อที่จะนำปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนไปพูดคุยในสภา ซึ่งจะมีประเด็นที่น่าจับตาเป็นพิเศษ โดยเฉพาะการกู้เงินที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ ที่สำคัญคือกรณีที่ พ.ร.ก.กู้เงิน ไม่มีรายละเอียดโครงการชัดเจน แล้วสภาจะสามารถพิจารณาได้อย่างไร อย่าคิดว่าสภาผู้แทนราษฎร เป็นสภาตรายางเหมือนที่ผ่านมา
ดังนั้น การออก พ.ร.ก. ในลักษณะเช่นนี้ พรรคเพื่อไทยจึงไม่เชื่อใจ ไม่มั่นใจในประสิทธิภาพและความสามารถในการใช้เงินให้เกิดประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน ขณะเดียวกันยังกังวลถึงความเสี่ยงที่ส่อว่าจะเกิดการทุจริตได้