ผักกาดหอม
กลัวที่ไหน….
สื่อฝั่งเขมรเล่นงานรัฐบาลไทยหนักหน่วงเหมือนกันครับ
วานนี้ (๑๒ พฤศจิกายน) แวะเวียนไปส่องโซเชียลเขมร คึกคักไม่น้อยหน้าโซเชียลไทย โดยเฉพาะสื่อที่เป็นกระบอกเสียงของรัฐบาลฮุน มาเนต อย่างขแมร์ไทม์ส
เขียนบทความถล่ม “นายกฯ อนุทิน” ไม่มีชิ้นดีเลยครับ
“…เมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีไทย หลั่งน้ำตาต่อหน้ากล้องขณะเยี่ยมทหารไทยที่ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุกับระเบิดที่ชายแดนกัมพูชา-ไทย
ช่วงเวลาดังกล่าวซึ่งจัดฉากได้อย่างลงตัวกับสื่อ ได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘อารมณ์ที่ลึกซึ้ง’
แต่เบื้องหลังน้ำตาเหล่านั้นกลับซ่อนบางสิ่งที่เย็นชากว่านั้น นั่นคือสีหน้าอันเฉียบคมของผู้นำที่ใช้ความโศกเศร้าเป็นการโฆษณาชวนเชื่อ
หากน้ำตาเหล่านั้นมีไว้เพื่อสันติภาพอย่างแท้จริง คงจะตามมาด้วยความเห็นอกเห็นใจ ความยับยั้งชั่งใจ และการเจรจา แต่กลับตามมาด้วยความโกรธแค้น การกล่าวหา และการต่อต้าน
ในวันเดียวกันนั้นเอง อนุทิน ได้ยืนต่อหน้าทหารและประกาศว่า ‘สันติภาพสิ้นสุดลงแล้ว’
ฉีกคำประกาศสันติภาพกัวลาลัมเปอร์ และให้คำมั่นว่าจะลงมือเพียงฝ่ายเดียวโดยไม่ปรึกษาหารือกับใคร
นี่ไม่ใช่คำพูดของผู้สร้างสันติภาพ แต่เป็นคำพูดของนักประชานิยมที่พยายามใช้อารมณ์เป็นอาวุธเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง
นายกรัฐมนตรีไทยได้เลือกใช้ยุทธวิธีทางการเมืองที่เก่าแก่ที่สุด
นั่นคือ การร้องไห้ต่อหน้าสาธารณชน แล้วจึงออกคำสั่งในที่ส่วนตัว ‘น้ำตาจระเข้’ ของเขามีจุดประสงค์เพื่อปกปิดนโยบายการเผชิญหน้าที่ละเมิดหลักการพื้นฐานที่สุดของกฎหมายระหว่างประเทศและเอกภาพอาเซียน
การปฏิเสธข้อตกลงที่ผู้นำโลกร่วมเป็นสักขีพยาน รวมถึงประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา และนายอันวาร์ อิบราฮิม ประธานอาเซียน อนุทินได้ทำให้ประเทศไทยขัดแย้งโดยตรงกับระเบียบภูมิภาคที่ปกป้องเสถียรภาพในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
อย่าลืมสิ่งที่กัมพูชาและไทยตกลงกันเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน
ปฏิญญากัวลาลัมเปอร์เมื่อวันที่ ๒๖ ตุลาคม ยืนยันให้ทั้งสองฝ่ายมีความยับยั้งชั่งใจ ลดความตึงเครียด และร่วมมือกันในการกำจัดทุ่นระเบิดและการถอนอาวุธหนักและอาวุธทำลายล้าง
กัมพูชาได้ให้เกียรติทุกข้อสัญญา ในขณะเดียวกัน ไทยได้นำโศกนาฏกรรมมาเป็นเรื่องการเมืองเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของข้อตกลง กล่าวหากัมพูชาโดยไม่มีหลักฐาน และปลุกปั่นให้เกิดกระแสชาตินิยม
นี่ไม่ใช่การทูต แต่มันคือการแสดงที่อันตราย
กัมพูชา ประเทศที่ใช้เวลาสามทศวรรษในการกำจัดทุ่นระเบิดกว่าสองล้านลูก และได้รับการยอมรับจากทั่วโลกในด้านการขจัดทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม กลับไม่สนใจที่จะวางทุ่นระเบิดใหม่เลย
การกล่าวหากัมพูชาว่าทำเช่นนั้นถือเป็นการขัดต่อทั้งเหตุผลและมนุษยธรรม
กระทรวงกลาโหมกัมพูชาได้แสดงความเสียใจต่ออุบัติเหตุครั้งนี้แล้ว โดยย้ำว่าพื้นที่ดังกล่าวยังคงปนเปื้อนจากความขัดแย้งในอดีต
ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่กองทัพทั้งสองประเทศยอมรับมานานแล้ว
การแสดงอารมณ์ของอนุทินที่โรงพยาบาลอาจสร้างความประทับใจให้แก่ผู้ชมในประเทศ แต่สำหรับประชาคมโลกแล้ว เรื่องนี้เผยให้เห็นบางสิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่า
นั่นคือการจงใจใช้ประโยชน์จากโศกนาฏกรรมเพื่อเป็นข้ออ้างในการยกระดับสถานการณ์ แทนที่จะยืนหยัดเพื่อสันติภาพ เขากลับยืนหยัดเพื่อความอยู่รอดทางการเมือง ตอบสนองความต้องการของนายพลสายแข็งกร้าวและชาตินิยมสุดโต่ง
เขาต้องการการสนับสนุนก่อนการเลือกตั้งครั้งต่อไปของประเทศไทย
ความเมตตาที่แท้จริงไม่ได้วัดกันที่น้ำตา แต่วัดกันที่การกระทำ
หากอนุทินรู้สึกถึงความเจ็บปวดของทหารเหล่านั้นอย่างแท้จริง เขาคงพยายามป้องกันไม่ให้เกิดความทุกข์ทรมานเพิ่มเติม โดยการกลับเข้าสู่การเจรจา ยึดมั่นในข้อตกลง และเคารพกฎหมายระหว่างประเทศ
แต่กลับเลือกที่จะปลุกปั่นความเป็นปรปักษ์ บ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของอาเซียน และเสี่ยงต่อเสถียรภาพของภูมิภาค
น้ำตาจระเข้อาจหลอกกล้องได้ แต่ไม่อาจหลอกประวัติศาสตร์ได้ โลกเห็นได้อย่างชัดเจนว่าการแสดงครั้งนี้คืออะไร ไม่ใช่ความโศกเศร้าของผู้นำ แต่เป็นกลยุทธ์ของชายผู้พร้อมจะร้องไห้เพื่อทหารของตน
ขณะเดียวกันก็เตรียมทรยศต่อสันติภาพที่พวกเขาสมควรได้รับ
ราชอาณาจักรกัมพูชายังคงมั่นคง สันติภาพไม่ใช่ความอ่อนแอ และความยับยั้งชั่งใจไม่ใช่การยอมแพ้ ความแข็งแกร่งที่แท้จริงอยู่ที่การรักษาคำพูด
ขณะที่คนอื่นร่ำไห้ให้กับสงคราม
กัมพูชาจะยังคงยืนหยัดเพื่อสันติภาพต่อไป แม้น้ำตาจะไหลรินและสำนึกที่บริสุทธิ์…”
ครับ…ขีดเส้นใต้ร้อยเส้น ทุ่นระเบิดเขียวๆ ดูใหม่หมดจดในมือทหารเขมร คือหลักฐาน ที่แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลฮุน มาเนต โดย “ฮุน เซน” เป็นสุดยอดของความปลิ้นปล้อน
หลักฐานชัดขนาดนี้ยังดำน้ำให้ตัวเองดูดีกันได้
ที่ผ่านมา รัฐบาลกัมพูชาได้รับเงินสนับสนุนจากนานาชาติเพื่อการเก็บกู้ทุ่นระเบิดมาอย่างต่อเนื่องหลายสิบปีแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์
รวมทั้งองค์การสหประชาชาติ
ผ่านโครงการกำจัดทุ่นระเบิดและช่วยเหลือเหยื่อ อาทิ การสนับสนุน CMAC (Cambodian Mine Action Centre) โครงการ “Clearing for Results” ของ UNDP
เงินทุนเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อลดความเสี่ยง เพิ่มความปลอดภัย และฟื้นฟูพื้นที่ทำกินของประชาชน
ปรากฏว่าโกงกันเละครับ
เก็บกู้ทุ่นระเบิดแค่หยิบมือ ที่เหลือเข้ากระเป๋านักการเมือง
พอมีปัญหากับไทยก็เอาของใหม่มาวางอีก
นี่แหละครับ กัมพูชา
ฉะนั้นปฏิกิริยาของ นายกฯ อนุทิน “Do it my way” ถือว่าเหมาะสมกับสถานการณ์แล้ว
กับเขมร ไม่ใช่เรื่องชายแดนอย่างเดียว แต่ยังเป็นเรื่องโจรที่คอยปล้นคนไทยอยู่ตลอดเวลา
แก๊งคอลเซ็นเตอร์ สแกมเมอร์ ค้ามนุษย์ ยังไม่ได้หายไปจากกัมพูชา เพราะส่วนบนของรัฐบาลยังพึ่งพาเงินสกปรกพวกนี้อยู่
ถึงเวลาแล้วที่ไทยต้องมีผู้นำที่เด็ดเดี่ยว ไม่ใช่หงอไปตามประเทศมหาอำนาจ แล้วแต่จะสั่งว่าให้ทำอะไร หรือเกรงใจแม้กระทั่งกัมพูชา อย่างรัฐบาลแพทองธาร จน “ฮุน เซน” คิดว่าตัวเองเหนือกว่าไทย
เกมนี้วัดใจอเมริกา แต่ก็เป็นไปได้น้อยมากที่ “ทรัมป์” จะงัดเรื่องภาษีมาบีบให้ไทยทำตามข้อตกลงที่กัวลาลัมเปอร์ เพราะเรามีหลักฐานว่า เขมร เล่นไม่ซื่อ
ส่วนอเมริกาก็รู้นิสัยเขมรดี
อย่างมากก็แค่เรียกร้องให้ตั้งโต๊ะคุยกัน
โอกาสนี้เราควรสั่งสอนรัฐบาลเขมร
ข้าไม่ใช่เพื่อนเล่น
ถ้ายังใช้นิสัยเดิม โดนทุบอย่าร้อง
อย่าให้เห็นน้ำตาจระเข้.

