ผักกาดหอม
มาช้ายังดีกว่าไม่มา….
วานนี้ (๖ พฤศจิกายน) นายกฯ อนุทินเปิดทำเนียบรัฐบาล จับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเซ็น MOU ปราบธุรกิจสีเทา
ชื่อเต็มว่าบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding : MOU) ว่าด้วยความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี กับ ๑๕ หน่วยงาน
สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.)
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
กระทรวงยุติธรรม
กระทรวงมหาดไทย
กระทรวงการคลัง
กระทรวงการต่างประเทศ
สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (สำนักงาน ป.ป.ท.)
กรมสอบสวนคดีพิเศษ
สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ
ธนาคารแห่งประเทศไทย
กระทรวงพาณิชย์
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
สมาคมธนาคารไทย
และสมาคมสถาบันการเงินของรัฐ
ก็ถือว่าครอบคลุมสำหรับปราบสแกมเมอร์
ทีนี้ไปดูว่า หน่วยงานทั้งหมดต้องทำอะไรบ้าง
ใน MOU ระบุว่า มีจุดประสงค์เดินหน้าปฏิบัติการเชิงลึก ๕ ด้านหลัก
๑.การบังคับใช้กฎหมายอย่างเฉียบขาดไม่ว่าจะเป็นผู้กระทำความผิดหรือผู้สนับสนุนอยู่ข้างหลัง
๒.การสร้างระบบประสานงานแบบบูรณาการเชื่อมโยงข่าวกรองและการสืบสวน
๓.การยึดและอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องทันที ตัดเส้นทางการเงินอาชญากรไม่ให้ใช้ประเทศไทยเป็นฐานฟอกเงินได้อีกต่อไป
๔.ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและ AI ในการตรวจจับเส้นทางเงินของมิจฉาชีพเพื่อสกัดก่อนที่จะเกิดเหตุ
๕.การสร้างภูมิคุ้มกันให้กับประชาชนให้มีความรู้เท่าทัน และมีการแจ้งเพื่อให้ประชาชนชาวไทยทั้งประเทศได้ระมัดระวัง และพร้อมกันนี้ให้ช่วยกัน ถือเป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้กับสงคราม ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี
ก็ถือว่าเป็นเรื่องเป็นราว เหลือแค่แสดงฝีมือให้เห็นว่ามีการจัดการกับสแกมเมอร์อย่างจริงจัง และมีผลงานปรากฏให้เห็น
สมัยรัฐบาลแพทองธาร มีการปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้ผล ซึ่งต้องยอมรับความจริงว่านั่นเป็นผลงานที่ปรากฏ
แต่…จุดเริ่มต้นมิได้อยู่ที่รัฐบาล
หลัง “หลิว จงอี้” ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ปรากฏตัวที่ประเทศไทย นั่นแหละครับรัฐบาลแพทองธารถึงงัวเงียตื่นขึ้นมาตัดไฟ ตัดอินเทอร์เน็ต เล่นงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชายแดนไทย-เมียนมา
ขณะที่ฝั่งกัมพูชา มิได้ดำเนินในคราวเดียวกัน
หน่วยงานความมั่นคงเสนอตัดไฟ ตัดอินเทอร์เน็ต หยุดส่งน้ำมันให้กัมพูชา
แต่ “แพทองธาร” บอกว่า เพียงการประกาศยกระดับมาตรการกดดันเท่านั้น
กระทั่งคลิปเสียง “อังเคิลวุ้นเส้น” โผล่มา นั่นแหละครับ นายกฯ และพ่อนายกฯ ต้องเดือดดาล เจอเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด
การปิดชายแดน ตัดไฟ ตัดอินเทอร์เน็ต ยุติการส่งน้ำมัน ถึงจะตามมา
นี่คือผลงานของรัฐบาลแพทองธาร
ฉะนั้นหากจะเอาเรื่องนี้ไปเป็นผลงานในการหาเสียงเลือกตั้ง ก็อย่าลืมว่ามันมีที่มาที่ไปเช่นนี้แล
มาที่รัฐบาลอนุทิน
ต้องบอกว่าช้าในการตอบสนองการแก้ไขปัญหาสแกมเมอร์
เมื่อเทียบกับหลายๆ ประเทศที่ตัดแขนตัดขาแก๊งสแกมเมอร์ในกัมพูชาแล้ว ไทยเรายังช้าอยู่มากครับ
เมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๘ อัยการไต้หวันได้ทำการยึดทรัพย์สิน “เฉิน จื้อ” หัวหน้าแก๊งจีนเทา ที่ใช้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ประธานกลุ่มบริษัท Prince Group บังหน้า
ทรัพย์สินที่ยึดมูลค่า ๑๑๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ
รวมทั้ง เรือยอชต์ ๑ ลำ
ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยไว้ ๒๕ คน
ยึดรถยนต์หรู ๒๖ คัน มีทั้ง เฟอร์รารี บูกัตติ และปอร์เช
และอพาร์ตเมนต์ ๑๑ ห้องในอาคารหรูแห่งหนึ่งในเมืองไทเป
วันเดียวกันนี้เอง ตำรวจฮ่องกงประกาศยึดทรัพย์สินมูลค่า ๓๕๓ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนใหญ่เป็นเงินสด หุ้น และกองทุนอื่นๆ ซึ่งสื่อท้องถิ่นระบุว่าเป็นของเฉิน จื้อ
ถัดมาตำรวจสิงคโปร์อายัดทรัพย์เฉิน จื้อ และบุคคลที่เกี่ยวข้องมูลค่ากว่า ๑๑๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เรือยอชต์ ๑ ลำ รถหรู ๑๑ คัน
อังกฤษประกาศยึดคฤหาสน์มูลค่า ๑๕.๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในลอนดอนเหนือ
และอาคารสำนักงานมูลค่า ๑๓๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ
กระทรวงยุติธรรมของสหรัฐประกาศว่า ได้ทำการยึดบิตคอยน์ได้กว่า ๑๒๗,๒๗๑ เหรียญ คิดเป็นมูลค่าราว ๑๕,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ
สส.สหรัฐเสนอร่างกฎหมายตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจกรณีสแกมเมอร์
ทั้งหมดนี้เพิ่งจะเกิดขึ้นในเดือนสองเดือนที่ผ่านมานี่เอง
สิ่งที่คนไทยรับรู้ก่อนหน้านี้เกี่ยวกับจีนเทาคือ…
มีการกว้านซื้อหมู่บ้านหรูกลางกรุงแทบจะยกหมู่บ้าน
ลูกบ้านเต็มไปด้วยจีนเทา
มีร้านอาหารจีนเกิดขึ้นมากมายกลางกรุง มีพฤติกรรมผิดสังเกต บางแห่งแทบไม่มีลูกค้า แต่ร้านเปิดทุกวัน
นี่คือการฟอกเงินในไทยใช่หรือไม่
เมื่อรัฐบาลตั้งทีมงานจากหลายหน่วยงาน อย่างน้อยๆ ก่อนยุบสภา น่าจะมีผลงานอะไรออกมาให้เห็นเป็นชิ้นเป็นอัน
หากเปิดตัวแล้วเงียบแสดงว่าเจอตอแล้วไม่กล้าขุดตอ
บางทีเลือกตั้งครั้งหน้า สแกมเมอร์มีบทบาทมากกว่า กกต.
อย่าปล่อยให้ไปถึงจุดนั้นนะครับ.

