ระวัง “สหรัฐ” ซ้ำรอยเดิม #เปลวสีเงิน

เปลว สีเงิน

แก๊ง “สแกมเมอร์” ในเขมร…..

ทำท่าจะเป็น “น้ำผึ้งหก” ที่เรียกสหรัฐฯ เข้ามาเผชิญหน้ากับจีน

เผชิญกันที่เขมร …..ก็แล้วไป

แต่นี่ดูทีท่าสหรัฐฯจะฉวยจังหวะเข้ามาใช้ไทยเป็นฐาน “เผชิญหน้ากับจีน” ผ่านเกม “ปราบแก๊งสแกมเมอร์” ในเขมร!?

ผมห่วงรัฐบาลและกองทัพ จะเป็น “นางพิม”

ขวาก็ “ขุนแผนแสนรัก” ซ้ายก็ “ขุนช้างแสนอาลัย”

มันเข้าตำรา “หักอื่นฝืนหักพอจักได้ แต่หักรัก-หักอาลัยนี้ไม่หลุดสุดจะหัก”!

เมื่อรัก “ทั้งขวา-ทั้งซ้าย” ขายไม่ขาด

สหรัฐฯ กับจีนก็จะมา “เปิดศึกชิงนาง” กันขึ้นที่ชานเรือนไทย แย่งกันเป็นเจ้าเข้าครอง “อ่าวไทย” คุม ๒ มหาสมทุรตรงช่องแคบมะละกา

ซึ่งเวลานี้ “ท่าเรือเรียม”

เขมรยกให้จีนใช้เป็นจุดยุทธศาสตร์ทางเรือคุม ๒ มหาสมุทร ซึ่งสหรัฐฯ ยอมไม่ได้ และพยายามจีบไทย ขอใช้พื้นที่สร้างฐานเป็นการถ่วงดุลกับจีน

แต่ไทย (ยัง) ไม่ยอม….

ถ้ายอม เท่ากับ “ชักน้ำเข้าลึก-ชักศึกบ้าน” ไทยจะกลายเป็นสมรภูมิให้ ๒ มหาอำนาจเข้ามาตบตีกันทันที

เขาได้ แต่ไทยเรา…บรรลัย สถานเดียว!

ดูเรื่องราว สหรัฐฯ ชักขมวดเกลียวมาที่ไทย ใช้ความหวังดี “จะเข้ามาปราบแก๊งสแกมเมอร์ในเขมร” เป็นใบเบิกทาง

เอาละ ก่อนจะไปคุยกันเรื่องนั้น….

ดูเหตุที่เกิดฉับพลันของรัฐบาล ๔ เดือน จากเรื่องสแกมเมอร์นี่ก่อน

หลังจากตกเป็นข่าวพูดกันไป-พูดกันมานานวัน เกี่ยวกับตัวรัฐมนตรีช่วยคลัง “นายวรภัค ธันยาวงษ์”

บ่ายวาน (๒๒ ต.ค.) รมช.วรภัค แถลงถึงกระแสข่าวบิดเบือน ใส่ร้าย ป้ายสี ว่าท่านพัวพันแก๊งสแกมเมอร์และธุรกิจผิดกฎหมายในเขมร

แถลงเสร็จ ท่านก็ประกาศ “ลาออก” จากตำแหน่งรมช.คลัง ทั้งที่รับตำแหน่งยังไม่ถึงเดือน!

เพื่อความเป็นธรรม ก่อนจะตัดสินใครซักคน เราลองฟังคำแถลงของท่าน “รมช.วรภัค” แล้วพินิจ-ใคร่ครวญดูกันก่อนจะเป็นไร

……………………………….

“วรภัค ธันยาวงษ์” รมช.คลัง

“ผมไม่ได้เตรียมการอะไรเกี่ยวกับเรื่องการลาออก เพียงแต่วันนี้ ต้องการมาชี้แจงข้อเท็จจริงทุกประเด็นผ่านสื่อมวลชน

และการลาออก

เพราะต้องการให้มีความเป็นอิสระในกระบวนการตรวจสอบ ไม่ใช่มาตรวจสอบตอนที่ผมยังอยู่ในตำแหน่ง รมช.การคลัง

ผมมีประวัติการทำงานและจรรยาบรรณที่โปร่งใส ตรวจสอบได้มาตลอด ๓๐ ปี ในแวดวงการเงินระดับสากล

ทั้งในองค์กรต่างชาติและองค์กรของรัฐขนาดใหญ่ของไทย และปัจจุบัน ทำงานในตำแหน่ง รมช.การคลังด้วย

ความซื่อสัตย์สุจริต ข้าราชการกระทรวงการคลัง ได้มีโอกาสทำงานใกล้ชิดกับผมมากกว่าหนึ่งปีก่อนหน้านี้

ในช่วงที่ทำงานเป็น “ที่ปรึกษา” นายพิชัย ชุณหวชิร อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรมว.การคลัง รวมทั้งในปัจจุบัน จะสามารถยืนยันได้ว่าผมทำงานอย่างไร”

ทั้งนี้ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการพาดพิงกรณีการฟอกเงินและธุรกิจผิดกฎหมาย ‘Cambodian Scammers’ นั้น

ยืนยันว่า ผมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น กับกระบวนการหลอกลวงหรือธุรกิจผิดกฎหมายใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะในประเทศกัมพูชาหรือประเทศอื่นใดทั้งสิ้น

ส่วนกรณีที่มีความพยายามเชื่อมโยง BIC Group และ BIC Bank Cambodia ให้เกี่ยวข้องกับกระบวนการหลอกลวงต้มตุ๋น

ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรนั้น ยืนยันว่า “ไม่อาจทราบได้” และคงต้องให้กระบวนการยุติธรรมเข้ามาตรวจสอบข้อเท็จจริง

และขอยืนยันว่า “ส่วนตัวไม่สนับสนุนธุรกรรมผิดกฎหมาย” และจะไม่ปกป้องผู้ที่กระทำผิดกฎหมายใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะในประเทศและต่างประเทศ

อย่างไรก็ดี ผมยอมรับว่า เคยพบกับผู้บริหารของ BIC Bank ที่เป็น “ประธานกรรมการของธนาคาร” ชื่อ Mr. Leak Yim

แต่ไม่เคยเป็นกรรมการ กรรมการบริหาร หรือที่ปรึกษาใดๆ ของ BIC Bank Cambodia และไม่เคยรับเงินหรือผลตอบแทนใดๆ

การที่มีการนำรูปและชื่อไปลงเป็นที่ปรึกษาของกลุ่มธนาคารนั้น “ผมไม่เคยทราบมาก่อน”

ส่วนประเด็นของ Mr. Benjamin Mauerberger นั้น

“เนื่องจากลูกของผมเรียนอยู่โรงเรียนเดียวกันในประเทศไทย”

แต่ส่วนตัวไม่เคยทราบลึกๆ ว่า Mr. Benjamin ประกอบธุรกิจอะไร อย่างไร หรือมีความสัมพันธ์ทางธุรกิจอย่างไรกับ Mr. Leak Yim

เพราะผม และ Mr. Benjamin เป็นผู้ปกครองนักเรียนวัยเดียวกัน ชั้นเดียวกัน และโรงเรียนเดียวกันเท่านั้น

สำหรับข้อกล่าวหาเรื่องการเป็นตัวแทน (Nominee) เชื่อมโยงกับบริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส (Finansia Syrus : FSS) ผ่าน Pilgrim Finansa นั้น

ในปี ๒๕๖๔ ผมได้เข้าซื้อหุ้น ๒๙ % ของ FSS ซึ่งเป็นธุรกรรมที่ถูกต้องตามกฎหมายและกฎระเบียบของตลาดหลักทรัพย์และคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ทุกประการ

เป็นการซื้อกิจการในลักษณะที่เรียกว่า management buy out และการซื้อหุ้นครั้งนั้น ได้รับวงเงินสนับสนุน ๒ ส่วน

คือ ส่วนที่ “ซื้อหุ้น” และส่วนที่ “ต้องเตรียมทำคำเสนอซื้อหุ้น” (tender offer)

ส่วนแรกเป็นเงินกู้จากกองทุนในสิงคโปร์ ชื่อ Capital Asia Investment (CAI)

และส่วนที่ ๒ จาก BIC Bank Lao ซึ่งเป็นธนาคารที่ถือหุ้น ๗๐% โดยกลุ่มธุรกิจชาวลาว ชื่อ Asia Investment and Financial Services Sole Co., Ltd.

และอีก ๓๐% โดยบริษัทการไฟฟ้าลาว

โดยวงเงินจาก BIC Laos เป็น Standby Facility เพื่อทำ Tender แต่เนื่องจากไม่มีผู้มาขายใน Tender จึงไม่มีการใช้วงเงินนี้

“BIC Bank Lao” และ “BIC Bank Cambodia” มีความเกี่ยวกันอย่างไรจากในอดีต ถึงใช้ชื่อคล้ายกันนั้น “ผมไม่ทราบ”

ผมทราบแต่เพียงว่า ในปัจจุบันนั้น ความเป็นเจ้าของและการบริหารจัดการนั้น “แยกกันเด็ดขาด”

BIC Bank Lao ดำเนินกิจการมานานแล้ว เป็นธุรกิจธนาคารที่ค่อนข้างอยู่ตัวแล้ว ผู้ถือหุ้นใหญ่ เป็นกลุ่มธุรกิจชาวลาวและบริษัทการไฟฟ้าลาว

เท่าที่หาข้อมูลได้ “BIC Bank Cambodia” ที่อยู่ในประเทศกัมพูชานั้น ถือหุ้นโดย บริษัท “Apsara Holding” 99% และ Mr. Yim Leak 1%

และหลังจากนั้น ผมได้ตัดสินใจขายหุ้นทั้งหมดและลาออกจากตำแหน่งกรรมการทุกตำแหน่งในบริษัท

และไม่เคยมีความเกี่ยวข้องใดๆ ในการถือหุ้นในการบริหาร Finansia อีก

ดังนั้น การคาดเดา กล่าวอ้างหรือกล่าวเท็จเรื่องในความคิดตัวเองว่าผมเป็น Nominee หรือเป็นฟันเฟืองสำคัญของกระบวนการ scammer

“ถือเป็นการใส่ร้ายป้ายสีและบิดเบือนข้อเท็จจริง”

“กระบวนการใส่ร้ายป้ายสี” ล่าสุดยังได้เหิมเกริมใส่ร้ายด้วยข้อมูลเท็จกับภรรยาของผมว่า “ได้รับประโยชน์เป็นเงินคริปโต” จำนวนหลายล้านเหรียญ

ซึ่ง “ไม่เป็นความจริง” แต่อย่างใด และขอยืนยันและมั่นใจว่า

“ภรรยาของผมไม่เคยมีบัญชีคริปโตใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งในอดีตและปัจจุบัน รวมทั้งไม่เคยได้รับผลประโยชน์ใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการนี้เลย”

ดังนั้น หากใครที่กล่าวอ้างว่ามีหลักฐานยืนยัน จึงอยากขอให้เปิดเผยมาเลย

ส่วนการดำเนินการหลังจากนี้….

ผม “ขอสงวนสิทธิ์” ในการดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่บิดเบือนและเผยแพร่ข้อมูลเท็จที่ทำให้เสียชื่อเสียง

โดยส่วนตัว ผมยังคงเชื่อมั่นในหลักนิติธรรม

และจะยืนหยัดในความจริงเพื่อปกป้องชื่อเสียงส่วนบุคคลและเกียรติของตำแหน่งทางการเมืองที่ได้รับมอบหมาย

อย่างไรก็ดี ผมยอมรับว่า “เสียดาย” เพราะได้เข้ามาทำงานในช่วงสั้นๆ

แต่ยืนยืนว่า ที่ผ่านมาไม่เคยอยากนั่งตำแหน่งทางการเมืองแต่อย่างใด ไม่เคยทะเยอทะยานในเรื่องนี้

และที่ผ่านมา ภรรยาก็ไม่ได้เห็นด้วยกับการเข้ามารับตำแหน่งครั้งนี้

แต่ส่วนตัวคิดสะระตะแล้ว มีความอยากช่วยเหลือประเทศ ก่อนหน้านี้ จึงได้เข้ามาทำงานในตำแหน่งที่ปรึกษาของ “นายพิชัย ชุณหวชิร” อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรมว.การคลัง

และเห็นว่า วันนี้สถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศไทยยังเต็มไปด้วยปัญหาเหมือน “ฟางเส้นสุดท้าย”

ต้อง “ปฏิรูปยกใหญ่” ในหลายด้าน เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้

“เสียดาย ที่ทำงานอยู่ช่วงสั้นๆ แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาถือว่าโชคดี ที่ได้รับความร่วมมือที่ดี จากข้าราชการกระทรวงการคลัง

ที่ผ่านมา…..

ได้คุยกับ “นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ” รองนายกรัฐมนตรี และรมว.การคลัง ตลอดว่า “เราเป็นรัฐมนตรีใหม่ แต่ก็ต้องเข้าใจข้าราชการ ว่าจะต้องมีตัวชี้วัดในการทำงาน”

ซึ่งนโยบาย Quick-Big-Win เป็นงานส่วนที่เพิ่มเข้ามา จึงต้องฉายภาพให้ข้าราชการเห็นว่า เรื่องนี้มีความจำเป็นในการร่วมมือร่วมใจ

เพื่อ “ฉุดให้เศรษฐกิจไทยไม่ติดหล่ม”

และหลังจากนี้ แม้ผมจะไม่มีตำแหน่งทางการเมืองแล้ว แต่หากยังมีอะไรที่สามารถทำได้ ก็พร้อมที่จะช่วยเหลือเต็มที่”

…………………………………..

ฟังแล้วก็ใคร่ครวญตามเหตุและผลที่ท่านรมช.วรภัคแถลงก็แล้วกัน

สำหรับผม ไม่มีข้อมูล “ด้านจริง-ด้านเท็จ” เป็นส่วนตัว จึงบอกผิด-บอกถูกไม่ได้

มาดูเรื่องสแกมเมอร์ในมุมอื่นบ้าง ก็ตามที่ทราบกัน “สหรัฐ-อังกฤษ” กำลังเชือดเขมร เหตุจากแก๊งสแกมเมอร์

ยึดทรัพย์และสินทรัพย์ตัวการใหญ่หลายแสนล้านที่มีอยู่ในสหรัฐฯ และอังกฤษ

ขึ้นบัญชีดำ “ธนาคารปรินซ์” และสถาบันการเงินที่เป็นแหล่งฟอกเงินของแก๊งสแกมเมอร์ ล้วนเป็นเครือข่าย “ตระกูลฮุน” ทั้งสิ้น

สหรัฐฯ กระตือรือร้น ต้องการเข้ามาปราบแก๊งสแกมเมอร์ในเขมรมากเป็นพิเศษ

ถึงขั้นจะเข้ามาตั้ง “ศูนย์บัญชาการปราบปราม” แต่จะตั้งที่เขมรหรือที่ไทยหรือที่ไหน?

ถ้าใช้ความปรารถนาดีนั้น “เป็นตัวนำร่อง” ขอตั้งในไทย….

ตรงนี้ เราต้องคิดถึงเรื่อง “ม้าอารี” ในนิทานอีสปให้จงหนัก!

ทำไมผมจึงระแวงในประเด็นนี้น่ะหรือ?

เมื่อวาน “นายโรเบิร์ต เอฟ. โกเด็ก” เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำไทย เข้าเยี่ยมคำนับ “นายกฯ อนุทิน ชาญวีรกูล”

หารือถึง “ความร่วมมือ” ในการปราบแก๊งสแกมเมอร์

เดือนหน้า สหรัฐฯ จะส่งเจ้าหน้าที่ด้านปราบเดินทางมาไทยนายกฯ บอกนักข่าวว่า

“เขาจะนำบัญชีรายชื่อบุคคลที่เกี่ยวกับสแกมเมอร์มาแลกเปลี่ยนกับทางการของไทยด้วย”!

วันเดียวกัน “ท่านทูตโกเด็ก” ยังได้เข้าพบรัฐมนตรีกลาโหม “พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์” ด้วย

นี่แหละครับ และยิ่งที่ประชุมใหญ่ “สมัชชาสหภาพรัฐสภา” รับร่างข้อมติที่ สส. “รังสิมันต์ โรม” เสนอเรื่องต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์

และชนะโหวตได้รับบรรจุเป็น “ระเบียบวาระเร่งด่วน” ด้วยเสียงท่วมท้น ในขณะที่จีนสนับสนุนเขมรอยู่ในที ณ ที่ประชุมนั้น

ผมก็หวั่นว่า….

ถ้าสหรัฐฯ ขอใช้ไทยเป็นที่ตั้งกองบัญชาการเข้าไปปราบแก๊งสแกมเมอร์ในเขมรละก็

บอกได้คำเดียว “ให้เข้าแล้วให้เขาออกไปยาก” แน่ๆ!

ระวัง…อย่าให้ประวัติศาสตร์ “สงครามเวียดนาม” ที่ไทยให้สหรัฐฯ ตั้งฐานทัพ “ย้อนกลับ” มาซ้ำรอยเดิมได้เชียว

เปลว สีเงิน

๒๓ ตุลาคม ๒๕๖๘

Line Open Chat *เพิ่มช่องทางการรับข่าวสาร จากเว็บไซต์ *อ่านคอลัมน์ เปลว สีเงิน ก่อนใคร *ส่งตรงถึงมือทุกคืน *เปิดกว้างเพื่อแฟนคอลัมน์พูดคุยแบบกันเอง ทุกเรื่องราว ข่าวสารบ้านเมือง สังคม ฯลฯ
Written By
More from plew
ไม่รู้ทัน “มันกินเรียบ” #เปลวสีเงิน
เปลว สีเงิน “ตรรกะโจร” บางเรื่องนี่ ใช้ได้นะ เช่นที่พูดว่า “ผลไม้พิษย่อมมาจากต้นไม้พิษ” ผมตรอง เออ….ก็จริงของเขาแฮะ! อย่าง “ตัวพ่อ” มันก็คือ...
Read More
0 replies on “ระวัง “สหรัฐ” ซ้ำรอยเดิม #เปลวสีเงิน”