เปลว สีเงิน
ในงานประชุม “สมัชชาสหประชาชาติ” ครั้งที่ ๘๐ เมื่อวาน (๒๘ ก.ย.๖๘) ที่นิวยอร์ก
ต้องบอกว่า ระหว่าง……
“นายปรัก สุคน” รองนายกฯ และรัฐมนตรีต่างประเทศเขมร กับ “นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว” รัฐมนตรีต่างประเทศของไทย
เป็น “มวยถูกคู่-คนดูถูกใจ” อย่างนั้นจริงๆ!
โดยเฉพาะถ้อยแถลงเนิบๆ แต่หนักแน่น แต่ละคำของท่านสีหศักดิ์ ไม่ต่าง “อีโต้ขว้างเหี้ย” ใส่ “นายปรัก สุคน” ที่ ตีหน้าเศร้า-เล่าความเท็จ ให้ที่ประชุมฟัง ว่า
“ประเทศเขากำลังถูกภัยคุกคามจากความขัดแย้งชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน”!
เมื่อท่านสีหศักดิ์ขึ้นเวที “สับหน้าแง” ปรากฏว่า ที่ประชุมตบมือกันเกรียวกราวด้วยความถูกใจเป็นระยะๆ ไม่ต่ำกว่า ๓-๔ ครั้ง
ก่อนจะทราบว่าท่านสีหศักดิ์สับว่าอย่างไร เรามาฟังที่ “นายปรัก สุคน” พูดสับปลับซักหน่อยก่อนปะไร
ขึ้นต้น นายปรัก สุคน เลีย “ประธานาธิบดีทรัมป์” หนึ่งแผล็บ
“ขอบคุณประธานาธิบดีโ ดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐที่ช่วยไกล่เกลี่ยจนนำไปสู่การบรรลุข้อตกลงหยุดยิง
ยุติการต่อสู้ที่ทำให้มีคนเสียชีวิต บาดเจ็บ ความเสียหาย และทำให้ประชาชนหลายแสนคนต้องพลัดถิ่น”
จากบทเลีย ก็ถึงบทใส่ไฟไทย แต่ไม่กล้าระบุชื่อตรงๆ เลี่ยงไปใช้คำว่า “เพื่อนบ้าน” แทน
“……น่าเศร้าที่ความเคลื่อนไหวฝ่ายเดียวอย่างต่อเนื่องจากเพื่อนบ้านของเรา การใช้กำลังทหารแทนกลไกที่ตกลงกัน
การใช้แผนที่ฝ่ายเดียวแทนแผนที่ ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลที่จัดทำตามสนธิสัญญาที่ผูกพันทั้งสองประเทศ
รวมถึงการกระทำอื่นๆ อีกมากมาย ล้วนบ่อนทำลายความพยายามสร้างความเชื่อมั่นและสันติภาพ
ที่น่ากังวลอย่างยิ่งคือ การขับไล่พลเรือนกัมพูชาและการขู่ใช้กฎหมายในประเทศกับประชาชน
รวมถึงการเตรียมขับไล่คนอีกหลายร้อยคนออกจากพื้นที่ ที่พวกเขาอาศัยอยู่มาหลายสิบปี
“วิธีการควบคุมดินแดนในพื้นที่ชายแดนที่ยังไม่ได้ปักปันนี้ แสดงถึงการไม่เคารพ ไม่เพียงแต่เงื่อนไขของการหยุดยิงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงข้อตกลงร่วมกันในการแก้ไขปัญหาชายแดนด้วย
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวทำให้อธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของกัมพูชาถูกละเมิด รวมถึงสิทธิและศักดิ์ศรีของชาวกัมพูชาจำนวนมาก
กัมพูชาปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัดและโปร่งใส แสดงความสุจริตใจในทุกขั้นตอนของการดำเนินการ และอดกลั้นอย่างถึงที่สุด”
แม้ในสถานการณ์ที่มีเหตุยั่วยุซ้ำแล้วซ้ำเล่า ช่วงเช้าวันเสาร์ เกิดการโจมตีโดยปราศจากการยั่วยุใกล้พื้นที่อ่อนไหว
หลังจากมีการกล่าวหาว่ากองทัพกัมพูชาเป็นฝ่ายยิงก่อน ฝ่ายกัมพูชาไม่ได้ทำเช่นนั้น และได้ละเว้นการตอบโต้ใดๆ เพื่อแสดงถึงความมุ่งมั่นต่อสันติภาพ”
ดูมันตลบตะแลง โกหกหน้าด้านๆ ตามสันดานเขมร แล้วสำออยเกือกส่งท้ายว่า
“กัมพูชาเป็นประเทศเล็กที่มุ่งเน้นการฟื้นฟูเศรษฐกิจและยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชน
เราไม่เป็นภัยคุกคามต่ออธิปไตยของประเทศใด เราจะปกป้องเอกราช อธิปไตย และบูรณภาพแห่งดินแดนของเราเสมอ
และการใช้กำลังจะเป็นทางเลือกสุดท้าย
กัมพูชาจะเดินหน้าทุกความพยายามเพื่อฟื้นความไว้วางใจและสภาพปกติ ส่งเสริมการอยู่ร่วมอย่างสันติและความสัมพันธ์อันดีระหว่างเพื่อนบ้าน
และเปลี่ยนพื้นที่ชายแดนให้เป็นเขตสันติภาพ มิตรภาพ ความร่วมมือ และความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน”
ถึงตรงนี้ ผมไม่ต้องพูดแล้ว เพราะผู้ใช้นามว่า “Mam” อดรนทนไม่ไหว พูดแทนในติ๊กต๊อก ว่า
“การโกหกของกัมพูชาต่อที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติไม่ได้ผล
ไม่เสียแรงที่อดตาหลับขับตานอน รอฟัง เนื่องจากประเทศไทย ขอเลื่อนการแถลงเป็นประเทศสุดท้าย เพราะต้องเขียนถ้อยแถลงใหม่ หลังจากฟังกัมพูชาโกหก
ในถ้อยแถลงนี้ ตบหน้ากัมพูชาและอเมริกา ที่ทรัมป์ออกมาเข้าข้างกัมพูชา หลังจากได้รับการฟ้องของขะแมร์
สมใจนัก ตั้งแต่ข้อ 21 เป็นต้นไป ขอให้อ่านนะคะ
ถือว่าประสบความสำเร็จยิ่งนักของรัฐบาลโดยท่านสีหศักดิ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนใหม่”
สปีชของท่านสีหศักดิ์มี ๖๓ หัวข้อ ที่เจาะกลางกบาลเขมรเริ่มจากข้อที่ ๒๑ ไปถึงข้อที่ ๓๔ ดังนี้
๒๑.เช้านี้ ผมตั้งใจจะกล่าวถึงเรื่องอื่นๆ ในเชิงบวก ซึ่งสะท้อนความหวังสำหรับอนาคต
แต่ผมต้องเขียนคำกล่าวใหม่ เนื่องจากคำพูดที่น่าเสียใจอย่างยิ่งจากเพื่อนร่วมงานชาวกัมพูชาของผม
เป็นที่น่าผิดหวัง ที่กัมพูชายังคงนำเสนอตัวเองว่า “เป็นเหยื่อ” ครั้งแล้วครั้งเล่าที่กัมพูชาพยายามนำเสนอข้อเท็จจริงในแบบฉบับของตน
ซึ่งไม่สามารถพิสูจน์ได้
เพราะมันเป็นเพียงการ “บิดเบือนความจริง”!
๒๒.เรารู้ว่าใครคือเหยื่อที่แท้จริง คือ “ทหารไทย” ที่ต้องสูญเสียขาจากทุ่นระเบิด “เด็ก” ที่โรงเรียน ถูกยิงถล่ม
และ “พลเรือนผู้บริสุทธิ์” ที่กำลังจับจ่ายซื้อของอยู่ในร้านขายของชำ ที่ถูกโจมตีด้วยจรวดของกัมพูชา ในวันนั้น
๒๓.เมื่อวานนี้ ผมได้พบกับเพื่อนร่วมงานชาวกัมพูชาที่ห้องโถงของสหประชาชาติ เราได้พูดคุยกันเรื่องสันติภาพ การเจรจา ความไว้วางใจและความเชื่อมั่นซึ่งกันและกัน
เรื่องนี้ ถูกเน้นย้ำอีกครั้งในการปรึกษาหารือแบบ “ไม่เป็นทางการ ๔ ฝ่าย” ที่จัดโดยสหรัฐอเมริกา
เราซาบซึ้งในความทุ่มเทของ “ประธานาธิบดีทรัมป์” เพื่อสันติภาพ
๒๔.แต่น่าเสียดาย ที่สิ่งที่ฝ่ายกัมพูชากล่าวในวันนี้ “ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง” กับสิ่งที่กล่าวไว้เมื่อวานนี้ในการประชุม
มันเผยให้เห็นเจตนาที่แท้จริงของกัมพูชา
ข้อกล่าวหานั้น “เกินจริง” จนเป็นการ “เยาะเย้ยความจริง”
๒๕.ตั้งแต่เริ่มต้น กัมพูชาเป็นผู้ “ก่อความขัดแย้ง” โดยมีเจตนาที่จะขยาย “ข้อพิพาทชายแดน” ให้กลายเป็นความขัดแย้ง “ระดับชาติ”
และทำให้เป็นปัญหาระดับ “นานาชาติ” อีกครั้ง ดังเช่นที่เกิดขึ้นเมื่อเช้านี้
26.“หมู่บ้าน” ที่เพื่อนร่วมงานชาวกัมพูชาอ้างถึงก่อนหน้านี้ “อยู่ในดินแดนไทย” จบสิ้น ในความเป็นจริง
หมู่บ้านเหล่านั้น ดำรงอยู่ได้เพราะประเทศไทยตัดสินใจด้านมนุษยธรรมในการ “เปิดพรมแดน” ของเราในช่วง “ปลายทศวรรษ ๑๙๗๐”
ให้ชาวกัมพูชาหลายแสนคน ที่หนีสงครามกลางเมืองในประเทศของตนเข้ามาหาที่พักพิงในประเทศไทย
เราตัดสินใจด้วยความเมตตาและหลักการด้านมนุษยธรรม ในฐานะนักการทูตหนุ่ม ผมเป็นพยานในฉากนั้นด้วยตัวเอง (เสียงตบมือดังก้องที่ประชุม)
๒๗.แม้สงครามกลางเมืองจะสิ้นสุดลงและที่พักพิงได้ถูกปิดไปแล้ว แต่หมู่บ้านชาวกัมพูชาก็ขยายตัวขึ้นตลอดหลายทศวรรษ
และแม้ว่าประเทศไทยจะประท้วงซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่กัมพูชาก็เพิกเฉยต่อคำขอให้จัดการกับการรุกล้ำนี้
๒๘.และเมื่อสันติภาพกลับคืนสู่กัมพูชาภายหลัง “ข้อตกลงสันติภาพปารีส” ปี ๑๙๙๑
เราอยู่ที่นั่น เพื่อช่วยสร้างและฟื้นฟูประเทศกัมพูชาเพื่อรักษาสันติภาพ “เราสร้างบ้าน ถนน และโรงพยาบาล”
เพราะสันติภาพในกัมพูชาเป็นผลประโยชน์ของประเทศไทย นี่คือสิ่งที่ “เพื่อนบ้านควรทำเพื่อกันและกัน” (เสียงตบมือสนั่นห้องประชุมอีกครั้ง)
๒๙.“การหยุดยิงยังคงเปราะบาง” เราต้องทำให้มันได้ผล นี่ต้องการความมุ่งมั่นและการกระทำที่จริงใจจากทั้งสองฝ่าย
๓๐.เป็นที่น่าเสียใจ ที่การยั่วยุอย่างต่อเนื่องของกัมพูชา รวมถึงการเคลื่อนย้ายพลเรือนเข้ามาในดินแดนไทยและการยิงปืนเข้าสู่ฝ่ายเราเมื่อเร็วๆ นี้
“เป็นการบ่อนทำลายสันติภาพและความมั่นคงตามแนวชายแดน” ผมหมายถึงเหตุการณ์หลายครั้ง ตั้งแต่เมื่อวันที่ ๒๓ กันยายน
ที่ทหารกัมพูชายิงใส่ทหารไทยที่ประจำการอยู่ตามแนวชายแดนจนถึง “เหตุการณ์ล่าสุดเกิดขึ้นในวันนี้”
ทหารไทยยังคงตรวจพบ “โดรนสอดแนมของกัมพูชา” ที่ล่วงล้ำเข้ามาในดินแดนไทยในแต่ละวันตามพื้นที่ชายแดน
การกระทำเหล่านี้ ถือเป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศไทย
และเป็นการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงที่บรรลุในการประชุมพิเศษที่ปุตราจายา มาเลเซีย และที่ได้รับการยืนยันซ้ำในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทวิภาคี
๓๑.และขอให้ชัดเจนว่า “ประเทศไทยยึดมั่นในสันติภาพเสมอมา” และจะยึดมั่นตลอดไป
และจะทำทุกอย่างที่เราสามารถทำได้เพื่อหาทางออกอย่างสันติสำหรับปัญหากับกัมพูชาในปัจจุบัน
ขณะเดียวกันประเทศไทยจะยืนหยัดอย่างมั่นคงและเด็ดเดี่ยวในการปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของเราเสมอ
เราขอเรียกร้องให้กัมพูชาทำงานร่วมกับเราในการแก้ไขความแตกต่าง ผ่านการเจรจาอย่างสันติ และกลไกที่มีอยู่
๓๒.วันนี้ สองประเทศของเรา เผชิญกับการตัดสินใจครั้งสำคัญ ในฐานะเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดและในฐานะมิตร
เราต้องถามกัมพูชาว่า “พวกเขาปรารถนาที่จะเลือกเส้นทางใด”?
“เส้นทางของการเผชิญหน้าอย่างต่อเนื่อง” หรือ
“เส้นทางแห่งสันติภาพและความร่วมมือ”!?
๓๓.”ประเทศไทยเลือกเส้นทางแห่งสันติภาพ” เพราะเราเชื่อว่าประชาชนของทั้งสองประเทศสมควรได้รับสิ่งที่ดีที่สุด
แต่เราตั้งคำถามอย่างแท้จริงว่า….
“กัมพูชามีเจตนาที่จะเข้าร่วมกับเราในการแสวงหาสันติภาพหรือไม่?”
๓๔. สำหรับประเทศไทย การเจรจา ความไว้วางใจ และความสุจริตใจ ไม่ใช่แค่คำพูด
แต่หนทางข้างหน้า เราจะยังคงยึดมั่นหลักการเหล่านี้ในการมีส่วนร่วมของเรากับหุ้นส่วนในอาเซียน
และนอกเหนือจากนั้น รวมถึงประเทศมหาอำนาจ ในการแสวงหาสันติภาพที่ยั่งยืนและความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน”
…………………………………
การกระชากคอเสื้อเขมรถาม….
“มึงจะรบกับกูหรือจะเป็นเพื่อนกัน…เอายังไง บอกมาตรงๆ เดี๋ยวนี้เลย” ของท่านสีหศักดิ์ครั้งนี้
ปรากฎว่า ได้ใจคนไทยจนกรี๊ดดดดสลบไปตามๆ กัน ทำเอา “นายกฯอนุทิน” พลอยหน้าบานไปด้วย ที่เลือกคนเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศไม่ผิด!
อัด “ปรัก สุคน” ซะ “จมปลัก” ไปเลย!
เปลว สีเงิน
๒๙ กันยายน ๒๕๖๘
