วัคซีน HPV (Human Papilloma Virus) หรือที่หลายคนรู้จักในชื่อ “วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก” เป็นวัคซีนที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันการติดเชื้อไวรัส HPV ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคมะเร็งหลายชนิด วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจเกี่ยวกับวัคซีน HPV กับบทความให้ความรู้โดย พญ.ศันสนีย์ อังสถาพร (ว.49688) สูตินรีแพทย์เฉพาะทางด้านมะเร็งวิทยานรีเวช ศูนย์สุขภาพหญิง โรงพยาบาลนวเวช ได้อธิบายใน 7 ประเด็นที่ทุกท่านสงสัย เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับวัคซีน HPV ได้อย่างถูกต้อง
1. วัคซีน HPV คืออะไร และป้องกันอะไรได้บ้าง?
วัคซีน HPV เป็นวัคซีนที่ช่วยป้องกันการติดเชื้อไวรัส Human Papilloma Virus (HPV) ซึ่งเป็นไวรัสที่ติดต่อได้ทางเพศสัมพันธ์ และเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคมะเร็งต่างๆ เช่น มะเร็งปากมดลูกในผู้หญิง มะเร็งทวารหนัก มะเร็งช่องปากและลำคอ รวมถึงหูดหงอนไก่บริเวณอวัยวะเพศ
2. วัคซีน HPV มีกี่ชนิด?
ในปัจจุบัน วัคซีน HPV ที่ใช้ในประเทศไทยมี 3 ชนิดหลัก ได้แก่:
• วัคซีน 2 สายพันธุ์ (Cervarix): ป้องกัน HPV สายพันธุ์ 16 และ 18 ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของมะเร็งปากมดลูก (ประมาณ 70%)
• วัคซีน 4 สายพันธุ์ (Gardasil): ป้องกัน HPV สายพันธุ์ 6, 11, 16 และ 18 โดยสายพันธุ์ 6 และ 11 เป็นสาเหตุของหูดหงอนไก่ ส่วนสายพันธุ์ 16 และ 18 เป็นสาเหตุของมะเร็ง
• วัคซีน 9 สายพันธุ์ (Gardasil 9): เป็นชนิดที่ครอบคลุมที่สุด ป้องกัน HPV สายพันธุ์ 6, 11, 16, 18, 31, 33, 45, 52 และ 58 ซึ่งสามารถป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้ครอบคลุมมากขึ้น และยังป้องกันมะเร็งอื่นๆ รวมถึงหูดหงอนไก่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. ควรฉีดวัคซีน HPV ตอนอายุเท่าไหร่?
วัคซีน HPV มีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อฉีดในคนที่ยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์และยังไม่เคยได้รับเชื้อมาก่อน ดังนั้น ช่วงอายุที่เหมาะสมที่สุดคือ:
• ผู้หญิงและผู้ชายอายุ 9-26 ปี: เป็นช่วงอายุที่แนะนำให้ฉีดอย่างยิ่ง
• เด็กอายุ 9-14 ปี: ควรได้รับวัคซีน 2 เข็ม โดยเข็มที่สองห่างจากเข็มแรก 6 เดือน
• ผู้ที่อายุ 15 ปีขึ้นไป: ควรได้รับวัคซีน 3 เข็ม โดยมีระยะเวลาการฉีดวัคซีนจบสามเข็มใน 6 เดือน
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่อายุมากกว่า 26 ปี หรือเคยมีเพศสัมพันธ์แล้วก็ยังสามารถฉีดวัคซีนได้จนถึงอายุ 45 ปี
4. ผู้ชายฉีดวัคซีน HPV ได้หรือไม่?
ได้แน่นอน ผู้ชายก็ควรฉีดวัคซีน HPV เพื่อป้องกันการติดเชื้อ HPV และโรคมะเร็งที่เกิดจากเชื้อ HPV เช่น มะเร็งทวารหนักและหูดหงอนไก่ รวมถึงช่วยลดการแพร่กระจายเชื้อไปสู่คู่นอนได้อีกด้วย
5. มีเพศสัมพันธ์แล้ว หรือเคยติดเชื้อ HPV มาแล้ว ฉีดวัคซีนได้ไหม?
สามารถฉีดได้ แม้จะเคยมีเพศสัมพันธ์หรือเคยติดเชื้อ HPV มาแล้ว เพราะวัคซีนจะช่วยป้องกันการติดเชื้อสายพันธุ์อื่นที่เรายังไม่เคยติดเชื้อ แต่ประสิทธิภาพอาจไม่สูงเท่ากับคนที่ยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์
6. ผลข้างเคียงของวัคซีน HPV มีอะไรบ้าง?
วัคซีน HPV ถือเป็นวัคซีนที่มีความปลอดภัย ผลข้างเคียงที่พบบ่อยมักไม่รุนแรงและจะหายไปได้เอง เช่น ปวด บวม แดง คัน บริเวณที่ฉีด หรืออาจมีอาการทั่วไปคล้ายวัคซีนอื่น ๆ เช่น มีไข้ต่ำ ๆ ปวดศีรษะ หรืออ่อนเพลีย
7. ฉีดวัคซีน HPV แล้ว จำเป็นต้องตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกอีกไหม?
การฉีดวัคซีน HPV เป็นการป้องกันการติดเชื้อ แต่ไม่ได้ป้องกันได้ 100% และยังมีเชื้อ HPV สายพันธุ์อื่นๆ ที่วัคซีนไม่ได้ครอบคลุม ดังนั้น ผู้หญิงที่ฉีดวัคซีนแล้วก็ยังคงต้องเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก (Pap Smear หรือ HPV DNA Test) ตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อป้องกันมะเร็งปากมดลูก
ดังนั้นการฉีดวัคซีน HPV จึงเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันโรคมะเร็งที่เกิดจากเชื้อ HPV การทำความเข้าใจเกี่ยวกับวัคซีนอย่างถูกต้องจะช่วยให้ทุกท่านตัดสินใจและวางแผนการดูแลสุขภาพได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ศูนย์สุขภาพผู้หญิง โรงพยาบาลนวเวช ได้ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของผู้ป่วย คุณภาพการรักษา มาตรฐานการให้บริการ ระบบการดูแลผู้ป่วยด้วยบุคลากรที่มีคุณภาพ และผ่านการรับรองมาตรฐาน AACI (American Accreditation Commission International) ISO 7101:2023 – Health Care Organization Management และ ISO 9001:2015 – Quality Management Systems สามารถติดต่อสอบถามหรือนัดหมายปรึกษาได้ที่ โรงพยาบาลนวเวช โทร. 1507