ผักกาดหอม
มาอีกแล้ว…
“นิด้าโพล” เปิดเผยผลการสำรวจ เรื่อง “สถานการณ์ไทย-กัมพูชา ไปต่อแบบไหนดี”
มีประเด็นเรื่องความศรัทธาในกองทัพ และความไม่ไว้วางใจในรัฐบาล
คำถามถึงความไว้วางใจต่อภาคส่วนต่างๆ ว่าจะสามารถปกป้องผลประโยชน์ของชาติได้ จากกรณีความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา พบว่า
กองทัพ
ตัวอย่าง ร้อยละ ๗๕.๗๓ ระบุว่า ไว้วางใจมาก
ร้อยละ ๑๙.๓๑ ระบุว่า ค่อนข้างไว้วางใจ
ร้อยละ ๓.๖๖ ระบุว่า ไม่ค่อยไว้วางใจ
ร้อยละ ๑.๐๗ ระบุว่า ไม่ไว้วางใจเลย
และร้อยละ ๐.๒๓ ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
กระทรวงการต่างประเทศ
ตัวอย่าง ร้อยละ ๔๑.๗๖ ระบุว่า ไม่ไว้วางใจเลย
รองลงมา ร้อยละ ๓๓.๒๘ ระบุว่า ไม่ค่อยไว้วางใจ
ร้อยละ ๑๙.๒๓ ระบุว่า ค่อนข้างไว้วางใจ
ร้อยละ ๔.๘๙ ระบุว่า ไว้วางใจมาก
และร้อยละ ๐.๘๔ ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
รัฐบาลไทย
ตัวอย่าง ร้อยละ ๕๔.๕๘ ระบุว่า ไม่ไว้วางใจเลย
รองลงมา ร้อยละ ๒๙.๐๑ ระบุว่า ไม่ค่อยไว้วางใจ
ร้อยละ ๑๑.๔๕ ระบุว่า ค่อนข้างไว้วางใจ
ร้อยละ ๔.๖๖ ระบุว่า ไว้วางใจมาก
และร้อยละ ๐.๓๐ ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
ความพอใจต่อบทบาทของภาคส่วนต่างๆ ในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา พบว่า
กองทัพ
ตัวอย่าง ร้อยละ ๗๕.๔๒ ระบุว่า พอใจมาก
รองลงมา ร้อยละ ๑๙.๘๕ ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ
ร้อยละ ๓.๓๖ ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ
ร้อยละ ๑.๒๒ ระบุว่า ไม่พอใจเลย
และร้อยละ ๐.๑๕ ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
กระทรวงการต่างประเทศ
ตัวอย่าง ร้อยละ ๔๐.๓๑ ระบุว่า ไม่พอใจเลย
รองลงมา ร้อยละ ๓๓.๖๖ ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ
ร้อยละ ๒๐.๓๘ ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ
ร้อยละ ๔.๘๑ ระบุว่า พอใจมาก
และร้อยละ ๐.๘๔ ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
รัฐบาลไทย
ตัวอย่าง ร้อยละ ๕๔.๔๓ ระบุว่า ไม่พอใจเลย
รองลงมา ร้อยละ ๒๗.๔๐ ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ
ร้อยละ ๑๓.๗๕ ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ
ร้อยละ ๔.๒๗ ระบุว่า พอใจมาก
และร้อยละ ๐.๑๕ ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
ครับ…ศรัทธาในรัฐบาลกับกองทัพต่างกันราวฟ้ากับเหว ราวกับว่าในสถานการณ์วิกฤตของประเทศ ไม่จำเป็นต้องมีรัฐบาลก็ได้ หากมีรัฐบาลอย่างรัฐบาลพรรคเพื่อไทย
เพื่อความเป็นธรรมกับรัฐบาล สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา มีการแบ่งงานกันทำ
“แพทองธาร” ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน หลังการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) อ่านแล้วก็อาจจะงงๆ อยู่บ้าง ตามประสาคำพูดของคนไม่มีพื้นฐานด้านนี้
“…อำนาจหน้าที่อะไรต่างๆ ก็เคลียร์กันให้หมด ถ้าถึงหน้างานตรงนี้กองทัพสามารถตัดสินใจอย่างนี้ได้เลยหรืออะไรก็ตาม คือเคลียร์กันในเนื้องานทั้งหมดแล้ว ส่วนในเรื่องของการเจรจา รวมถึงเรื่องรายละเอียดนั้น ในการพูดคุยอาจจะไม่ได้ลงรายละเอียดทั้งหมด แต่ในกรอบของความเข้าใจ ก็เกิดความเข้าใจกัน และไม่ได้มีความรุนแรงที่ขยายมากยิ่งขึ้น
กองทัพเองก็ยืนยันในส่วนของการลิมิตความรุนแรง การปะทะความรุนแรง เพื่อไม่ให้เกิดความรุนแรงเกิดขึ้น ก็เป็นแนวทางที่รัฐบาลสนับสนุนอยู่แล้ว วันนี้คร่าวๆ ก็จะประมาณนี้”
ก็ควันหลงจากคลิป “อังเคิลวุ้นเส้น” ที่บอกว่า แม่ทัพภาคที่ ๒ เป็นฝ่ายตรงข้ามนั่นแหละครับ
มันเกิดภาพรัฐบาลกับกองทัพมีปัญหากัน
ไม่เฉพาะคนไทยที่เชื่อเช่นนั้น
“อังเคิลวุ้นเส้น” ก็เชื่อ ถึงได้ส่งทหารเขมรมาแหย่ทหารไทย
สถานการณ์แบบนี้ “แพทองธาร” ไม่รู้เรื่องหรอกครับว่ามีอะไรต้องทำ หนึ่ง สอง สาม สี่ บรรดาที่ปรึกษาน้อยใหญ่ก็ไม่กล้าแสดงออกหาก “นายใหญ่” ไม่สั่ง
เพราะโครงสร้างรัฐบาลแพทองธารมันเป็นอย่างนั้น
ฝั่ง “นายใหญ่” เองก็งมโข่ง เพราะไม่คิดว่า “วุ้นเส้น” เพื่อนเลิฟ จะกล้าแทงหลังจนเลือดสาดขนาดนี้
จึงหายไปจากสารบบอยู่พักใหญ่
บทบาทของทหารจึงโดดเด่นขึ้นมา
ก็ไม่น่าแปลกใจอะไรครับ เพราะบทสรุปของเรื่อง “วุ้นเส้น” ยังกล้าทรยศจีน หันไปซบอเมริกา เหมือนที่ “จอมพลลอน นอล” ผู้นำเขมรในอดีตเคยภักดีอเมริกา
จบด้วยสงครามกลางเมือง!
แพ้พวกเขมรแดงของ “วุ้นเส้น” นั่นแหละครับ
ก่อน “วุ้นเส้น” จะแปรพักตร์ไปเข้ากับเวียดนาม เพราะเหยียบตาปลา “พล พต” หัวหน้าแก๊งเขมรแดงจอมอำมหิตที่ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คนเขมรด้วยกัน
เรื่องพวกนี้ “วุ้นเส้น” จึงเหนือกว่า “ทักษิณ” เยอะ
แต่ไม่ใช่กับกองทัพไทย
ทหารไทยอ่านผู้นำเขมรแต่ละยุคออกมาตลอดว่าพวกนี้ต้องการอะไรจากไทย
ขณะที่รัฐบาลระบอบทักษิณคิดแต่เรื่องผลประโยชน์
ท่าทีในคลิป “อังเคิลวุ้นเส้น” กับ “หลานอิ๊ง” คือการประจานถึงสายสัมพันธ์ที่ยึดผลประโยชน์ส่วนตัวอยู่เหนือผลประโยชน์ชาติ
เมื่อคนไทยซึมซับเรื่องนี้มาต่อเนื่องยาวนานก็ไม่แปลกหรอกครับที่ ผลโพลจะออกมาว่า ประชาชนเชื่อถือทหารมากกว่ารัฐบาล
รัฐบาลระบอบทักษิณมีไว้ทำไม?
