ผักกาดหอม
สันดานมันโผล่ครับ…
เรื่องที่ “อุ๊งอิ๊ง” พูดกับ “ฮุน เซน” ว่า แม่ทัพภาคที่ ๒ เป็นฝ่ายตรงข้าม ไม่ใช่พูดลอยๆ ครับ แต่นี่คือคำเสี้ยมสอน เป็นมรดกตกทอดของระบอบทักษิณ
“ทักษิณ” มองกองทัพเป็นศัตรูการเมือง เพราะถูกรัฐประหารมาแล้ว ๒ ครั้ง
คือ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙
และ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗
มันเจ็บลึก!
และนี่เป็นที่มาของความพยายามในการเสนอแก้ไข พระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. ๒๕๕๑ ของพรรคเพื่อไทย
แก้เพื่อให้ฝ่ายการเมืองสามารถเข้าไปรื้อโผแต่งตั้งนายพลได้
ย้อนกลับไปดูหลักการและเหตุผล ของการจ้องแก้ไขกฎหมายฉบับนี้จะพบถึงสาเหตุว่า ทำไม “อุ๊งอิ๊ง” ถึงมองว่าทหารเป็นฝ่ายตรงข้าม
หลักการและเหตุผล ให้อำนาจคณะรัฐมนตรีมีหน้าที่ และอำนาจพิจารณาแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพล ที่ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการที่แต่งตั้งขึ้น
เพราะมองว่าการแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพล ตาม พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. ๒๕๕๑ นั้น แม้จะมีการแต่งตั้งกรรมการที่มี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และผู้บัญชาการเหล่าทัพเป็นกรรมการ แต่การแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพล มีการวางตัวบุคคลที่เป็นพวกพ้องของผู้บัญชาการเหล่าทัพ ให้สืบสายเป็นผู้บัญชาการเหล่าทัพต่อไป
ทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมกับนายทหารที่มีความรู้ความสามารถ แต่ไม่ใช่พวกพ้องของผู้บัญชาการเหล่าทัพ
คนที่ไม่ใช่พวกพ้อง เสียโอกาสได้ก้าวหน้าในชีวิตราชการทหาร
ทำให้การแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพล ขาดความโปร่งใส
ดังนั้นจึงควรให้อำนาจ ครม.เป็นผู้พิจารณา
อีกทั้งควรปรับองค์ประกอบของกรรมการให้เหมาะสม รวมถึงองค์ประกอบของสภากลาโหม ให้หัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เข้ามาเป็นสมาชิกสภากลาโหม
ให้นายกรัฐมนตรีเป็นประธานสภากลาโหม แทน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และตัดกองทัพออกจากสภากลาโหมบางส่วน ให้เหลือเพียง ๑-๒ คนก็เพียงพอ
นั่นคือข้ออ้างของพรรคเพื่อไทย
ขณะที่ ที่มาของกฎหมายฉบับนี้ เกิดขึ้นเพราะตลอดรัฐบาลไทยรักไทย มีการแทรกแซงการแต่งตั้งผู้บัญชาการเหล่าทัพ ตั้งญาติของตัวเองเป็นผู้บัญชาการทหารบก
นั่นก็คือ “ชัยสิทธิ์ ชินวัตร”
วานนี้ (๒๐ มิถุนายน) “อุ๊งอิ๊ง” เดินทางไปเคลียร์ใจกับ แม่ทัพภาคที่ ๒ พล.ท.บุญสิน พาดกลาง ซึ่งถูกพาดพิงจากคลิปที่ “ฮุน เซน” ปล่อย
เหมือนเด็กทำผิดแล้วไปขอโทษผู้ใหญ่
“…ขอให้คำมั่นว่ารัฐบาลพร้อมสนับสนุนกองทัพอย่างเต็มที่ ทุกคนคือคนไทย แผ่นดินนี้คือแผ่นดินไทย จะต้องช่วยกันรักษา
ทหารเปรียบเสมือนรั้วของชาติ รัฐบาลต้องการให้รั้วของชาติมีสุขภาพดี ทั้งแรงกาย และแรงใจ มีความสุขในการทำหน้าที่ อะไรที่ต้องการให้รัฐบาลสนับสนุน รัฐบาลยินดีและพร้อมสนับสนุนอย่างเต็มที่
ในนามรัฐบาลขอขอบคุณ และขอส่งกำลังใจให้ทหารทุกนาย พร้อมทั้งขอนำกำลังใจจากประชาชนทุกคนมามอบให้ในวันนี้…”
“…ก็เป็นไปได้ด้วยดี ท่านแม่ทัพภาคที่ ๒ ก็คุยดีตั้งแต่แรก…”
“…ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว เป็นเทคนิคการคุยระหว่างกัน เพิ่งเจอครั้งที่สองเอง จะไม่ชอบเขาได้ยังไง…”
แม่ทัพภาคที่ ๒ ท่านเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา จะให้สวนกลับหรืออย่างไร ท่านเป็นสุภาพบุรุษรู้ว่าต้องปฏิบัติตัวอย่างไร
แต่ท่วงทำนองการพูดของ “อุ๊งอิ๊ง” ไม่ต่างจากที่พูดกับ “ฮุน เซน”
“…ต้องการอะไรบอกมาเดี๋ยวจัดให้…”
มันสายไปเสียแล้วครับ เพราะความเสียหายมิได้เกิดกับเฉพาะ แม่ทัพภาคที่ ๒ แต่เกิดกับประเทศไทย
สิ่งที่ “อุ๊งอิ๊ง” ลากผู้บัญชาการเหล่าทัพไปร่วมแถลงข่าว ว่าพฤติกรรมของ “ฮุน เซน” ถือเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ
มันไม่ใช่ครับ!
ขณะนี้ “ฮุน เซน” เป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐบาลเพื่อไทย
อย่าเอาชาติไปเกี่ยวข้องกับการสาวไส้ของ ๒ ตระกูลการเมือง
“ชินวัตร” กับ “ฮุน”
ไม่ต้องห่วงชาติ หรือกองทัพครับ เพราะเขามีวิธีรับมือกับเขมร หากมีการรุกล้ำดินแดนเข้ามา
ทหารไม่ปล่อยให้เขมรเข้ามายึดผืนแผ่นดินไทยแน่นอน
แต่ตระกูล “ชินวัตร” นี่สิครับ ไปแอบคุยกับ “ฮุน เซน” ด้วยการเอาผลประโยชน์ของชาติไปแลกเปลี่ยนบ้างหรือเปล่า
ประชาชนคาใจเรื่องนี้มาก!
มีเรื่องที่ ตระกูลชินวัตร แอบไปทำอะไรที่กัมพูชาโดยที่ประชาชนคนไทยไม่รู้อีกมากครับ
ก็ไม่รู้เกี่ยวข้องกับการเตรียมแฉว่ามีนักการเมืองไทย ใช้กัมพูชาเป็นฐานในการฟอกเงินหรือไม่ ถ้าแฉจริงก็มีประโยชน์ต่อประเทศไทยเป็นอย่างมาก
โจรจับโจร…งานนี้สนุกแน่
แต่ที่แฉแล้ว โดย “ฮุน เซน” เจ้าเก่า คือพา “อุ๊งอิ๊ง” ไปทัวร์ สถานที่แห่งหนึ่งซึ่งเป็นสถานที่ที่คนไทยสงสัยมานานว่า นักโทษหนีคดีเคยไปหลบอยู่ที่ไหนในกัมพูชา
เป็นห้องพักหรูสไตล์เขมร ที่ “ฮุน เซน” เคยจัดให้ “ทักษิณ” และ “ยิ่งลักษณ์” พำนักหลังทั้งคู่ผ่านเส้นทางธรรมชาติจากไทยไปเขมร
“…ผมและรัฐบาลกัมพูชาเคยช่วยเหลืออดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณและยิ่งลักษณ์ของไทย เมื่อตอนที่ น.ส.แพทองธารเดินทางเยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการในเดือนเมษายน ๒๕๖๘ เราได้มีการพบปะครอบครัวและรับประทานอาหารที่บ้านของผม ซึ่งก่อนเดินทางกลับ น.ส.แพทองธารได้ขอดูห้องพักที่พ่อและอาของเธอเคยพักอาศัยอยู่ที่บ้านของผม
ที่บ้านพักจะมี ๒ ห้องที่สงวนไว้สำหรับนายทักษิณและ น.ส.ยิ่งลักษณ์ โดยห้องหนึ่งตั้งชื่อว่า ห้องทักษิณ และอีกห้องชื่อว่า ห้องยิ่งลักษณ์ โดยสามีของ น.ส.แพทองธารได้ถ่ายภาพและวิดีโอห้องพักดังกล่าวด้วย
ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่าง ๒ ครอบครัวที่มีมากว่า ๓๐ ปีได้จบลง หลังเจ้าหน้าที่กัมพูชาคนหนึ่งเผยแพร่คลิปบทสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างผมและ น.ส.แพทองธาร เพราะไม่พอใจที่มีคนกล่าวโจมตีว่าผมและนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ของกัมพูชา ไม่มีความเป็นมืออาชีพ…” นี่คือความเจ้าเล่ห์ของ “เฒ่าฮุน เซน”
นอกจากทวงบุญคุณแล้ว ยังเป็นการเจตนาแฉอีกครั้งว่า การเดินทางไปเยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีประเทศไทย ได้ขอไปดูห้องพักของนักโทษหนีคุกจากประเทศไทยด้วย
ซึ่งการเดินทางไปครั้งนั้น “อุ๊งอิ๊ง” มิได้ควักเงินส่วนตัว แต่เป็นภาษีของประชาชน เพื่อไปดูว่า พ่อ และ อา ซึ่งหนีคดีคอร์รัปชัน ไปนอนสบายอยู่ห้องไหนในบ้าน “ฮุน เซน”
ความคบไม่ได้ของ “ฮุน เซน” คือเจ้าตัวแชร์คลิปให้คนรู้จัก ๘๐ คน แต่อ้างว่ามีเจ้าหน้าที่กัมพูชาคนหนึ่งเดือดร้อนแทนนายเอาคลิปไปแฉในโซเชียลในวงกว้าง
เหลี่ยมคูทางการเมืองสไตล์เขมรถือว่ามีประโยชน์มากเฉพาะกรณีนี้ แต่กรณีอื่นๆ อย่าหลงกล ไม่งั้นเสียรู้
ใกล้จบแล้วครับ
ขณะที่อยู่ระหว่างการแต่งศพ พยายามให้ออกมาดูดีที่สุด
การปรับ ครม.บนสถานการณ์ที่นายกฯ หมดความชอบธรรม ก็แค่ต่อลมหายใจชั่วครู่ชั่วคราว
ศพมันเน่าแล้วมีแค่ ๒ ทางเลือก
ไม่ฝังก็เผา.
