อายุที่เพิ่มขึ้นเป็นสัญญาณเตือนว่าร่างกายกำลังเสื่อมถอย เช่นเดียวกับกระดูก เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้นจะมีภาวะกระดูกบางลงเรื่อยๆจนนำไปสู่ภาวะกระดูกพรุน ภาวะกระดูกพรุนจะไม่ส่งสัญญาณเลย รู้อีกทีเมื่อภาวะกระดูกหักแล้ว หรือบางคนรู้สึกว่าความสูงลดลงเพราะกระดูกสันหลังค่อยๆ ยุบตัว ซึ่งภาวะกระดูกพรุน ถ้าตรวจพบเร็วช่วยให้วางแผนป้องกันและรักษาได้
พญ.กฤดากร เกษรคำ จาก Addlife Medical Center ชั้น 2 ไลฟ์เซ็นเตอร์ (คิวเฮ้าส์ ลุมพินี) มาให้ความรู้เกี่ยวกับโรคกระดูกพรุน กระดูกพรุนเป็นภาวะที่มีการเสื่อมสลายของเนื้อกระดูกทำให้เนื้อกระดูกบางลงเรื่อยๆ โดยทั่วไปมวลกระดูกจะหนาแน่นที่สุดในช่วงอายุ 30 ปี และมวลกระดูกจะค่อยๆ ลดลง และจะพบได้บ่อยในผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 50 ปี สำหรับผู้หญิงพบ ได้ 1 ใน 2 คน และผู้ชายพบได้ 1 ใน 5 คน
เมื่อเกิดภาวะกระดูกพรุน จะเสี่ยงกระดูกหักได้ง่าย เมื่อกระดูกเคยหักแล้ว ก็มีโอกาสที่จะหักซ้ำได้อีกเรื่อยๆ วิธีการที่จะป้องกันได้ดี และรวดเร็วที่สุด คือ การตรวจหามวลกระดูก เป็นการใช้รังสีที่มีความเข้มข้นน้อยมาก ผ่านไปที่บริเวณกระดูกเพื่อตรวจหาความหนาแน่นของกระดูก ปริมาณรังสีที่ใช้จะน้อยกว่าการเอกซ์เรย์ปอด โดยจะมีการตรวจในตำแหน่งต่างๆ ที่มีโอกาสหักได้ง่าย ได้แก่ กระดูกสะโพก กระดูกสันหลังส่วนเอว และกระดูกส่วนปลาย เช่น ข้อมือหรือข้อเท้า การตรวจใช้เวลาประมาณ 10-15 นาที สามารถทราบผลและแปลผลได้ทันทีหลังตรวจ โดยคุณหมอแนะนำใครบ้างที่ควรตรวจมวลกระดูก
- คนที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป
- ผู้หญิงที่หมดประจำเดือนแล้ว
- ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคกระดูกพรุนหรือกระดูกหักง่าย
- คนที่มีรูปร่างผอมบาง ก็ยิ่งมีความเสี่ยงกระดูกหักได้ง่าย
- คนที่ใช้ยาสเตียรอยด์ติดต่อกันเป็นเวลานานก็สามารถทำให้กระดูกบางได้
- กลุ่มคนที่มีโรคประจำตัว บางโรคก็อาจจะทำให้มวลกระดูกลดลงได้ เช่น โรคไตวาย โรคข้อต่างๆ โรคเบาหวาน หรือคนที่มีโรคเกี่ยวกับต่อมพาราไทรอยด์ผิดปกติ
- พฤติกรรมเสี่ยง เช่น คนที่ดื่มเหล้าหรือสูบบุหรี่เป็นประจำ คนที่ดื่มชากาแฟน้ำอัดลมก็มีความเสี่ยงเช่นกัน
- ผู้ที่ไม่ได้ออกกำลังกายเป็นประจำ เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงที่จะมีภาวะกระดูกพรุนได้ง่าย
สำหรับคนที่อายุยังไม่มาก สามารถป้องกันให้ห่างไกลจากโรคกระดูกพรุนด้วยการเริ่มดูแลตนเอง แบบง่ายๆ คือ
- รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และอาหารที่ให้แคลเซียมสูง เช่น นมหรือปลาแห้งตัวเล็กๆ ผักใบเขียว เช่น ผักโขม ผักคะน้า ใบชะพลู หรือพวกเต้าหู้ งาดำก็ช่วยได้
- รับประทานอาหารที่มีวิตามินดีเพื่อช่วยในการดูดซึมแคลเซียม
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่างน้อย 3 วันต่อสัปดาห์
- หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่
- การตรวจสุขภาพและตรวจมวลกระดูกอย่างน้อยปีละครั้ง