ผักกาดหอม
มันมาอีกแล้ว….
การเมืองดี มีอนาคต ร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. …. (เอนเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์) เตรียมเข้า ครม.แล้วครับ
จากปากของ นักกฎหมายมือหนึ่งของรัฐบาล “ชูศักดิ์ ศิรินิล” ยืนยันว่า มาแน่
“…ขณะนี้ทราบว่าพิจารณาเสร็จเรียบร้อยแล้ว และคงจะเอาเข้าที่ประชุม ครม. จากนั้นส่งไปวิปรัฐบาล แต่ไม่แน่ใจว่าจะนำเข้าที่ประชุม ครม. วันที่ ๑๑ มีนาคมเลยหรือไม่..”
ไม่ทัน ๑๑ มีนาคม ก็คงหลังจากนั้นไม่นานครับ เพราะรัฐบาลเร่งเปิดกาสิโน หวังโกยเม็ดเงิน สร้างตัวเลขจีดีพี ไม่ให้ดูต่ำเกินไป จนประหนึ่งว่ารัฐบาลไม่มีผลงานเลย
ที่ถกเถียงกันอยู่ว่า รัฐบาลแก้ร่าง พ.ร.บ.ที่ผ่านกฤษฎีกามายับ!
แก้แม้กระทั่งเจตนารมณ์ของกฎหมาย
จำได้มั้ยครับ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา “ปกรณ์ นิลประพันธ์” เคยบอกไว้ว่า
“…เราไม่อยากให้ประชาชนเข้าไปหมกมุ่นในเรื่องนี้อยู่แล้ว เราไม่ได้เอาเรื่องพนันเป็นหลัก เพราะสถานที่ท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้น
ผมคิดว่าถ้าเราใส่ตรงนั้นแน่นๆ อาจจะเป็นการป้องกันไม่ให้คนไทยเข้าไปเล่น หรือถูกมอมเมาต่างๆ ได้ ซึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้นนั้น ไม่ได้เน้นเรื่องการพนันเท่าไหร่…”
จึงเป็นที่มาของการแก้ไขเนื้อหาสำคัญ
“…คนไทยที่จะเข้าไปเล่นจะต้องมีเงิน ๕๐ ล้านบาทในบัญชี…”
แต่รัฐบาลเตรียมจะแก้กลับ
เอา ๕๐ ล้านออก
เป็นให้คนไทยที่เสียภาษีย้อนหลัง ๓ ปี สามารถเข้าไปเล่นการพนันในกาสิโนได้
มนุษย์เงินเดือนได้เฮสิครับ!
ผีพนันกลุ่มนี้ฐานกว้างมาก
ซัดกันเต็มเหนี่ยวแน่ๆ
ปลายทางคือเป็นหนี้พนันกันบาน
ตามด้วยปัญหาทางสังคม
เตรียมรอดูสถิติกันได้เลย ลัก วิ่ง ชิง ปล้น เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
ก็ตรรกะง่ายๆ ไปเล่นประเทศเพื่อนบ้านด้านตะวันออกตะวันตก ต้องเดินทางเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าก็ยังยกโขยงกันไป
นี่เปิดเล่นกันที่ปลายจมูกเลยครับ
ไอ้เรื่องสัญญิงสัญญาว่า ไม่มีทางจะเป็นฮับฟอกเงิน เพราะเอกชนลงทุนเป็นแสนล้าน ไม่มีทางให้เกิด ใครจะเชื่อก็เชื่อไป แต่คอยดูเถอะครับ
คุมไม่อยู่!
แน่ใจแล้วหรือว่า นักการเมือง และเจ้าหน้าที่รัฐของไทย ไม่เห็นแก่เศษเงิน
แน่ใจหรือว่าจะมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถควบคุมให้ ผีพนัน นั่งพับเพียบเล่นกาสิโนได้
เสร็จแล้วกลับไปนอนตีพุงที่บ้านอย่างมีความสุข
เพราะเป๋าตุง
พรรคร่วมรัฐบาล อาทิ พรรคภูมิใจไทย พรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทยพัฒนา ว่าไง
จะร่วมสร้างความอัปยศครั้งนี้ด้วยหรือไม่
หรือจะเห็นแก่อำนาจ ความหอมหวานในเก้าอี้รัฐมนตรี ก็ว่าไป
แต่พวกท่านจะถูกจารึกไว้ว่ามีส่วนร่วม เปิดกาสิโน มอมเมาประชาชนในชาติ
นึกถึงสภาพสังคม ที่เน่าเฟะ จากการติดการพนันของประชาชนเอาไว้ให้ดีครับ
ภาพเหล่านี้ได้เห็นแน่
บ้านแตก พ่อไปทาง แม่ไปทาง ลูกไปอีกทาง
ได้เงินเดือนมาหมดไปกับพนัน
ต้องกู้หนี้นอกระบบ ไม่มีเงินคืน
เจ้าหน้าที่โหดตามล้างตามเช็ด
ปัญหาอาชญากรรมสารพัด
ปล้นร้านทองถี่ขึ้น
นี่ยังไม่รวมพนันออนไลน์นะครับ
มาเป็นสูบจะขนาดไหน
มีสมองไว้คั่นหูจริงๆ!
ครับ…นึกถึงญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็มีความเป็นไปได้ว่า ร่างกฎหมายกาสิโน จะยังไม่เข้า ครม. จนกว่าฝ่ายค้านจะซักฟอกรัฐบาลเสร็จสิ้น
เพราะนี่เป็นหัวข้อหลักที่ฝ่ายค้านเตรียมขยี้รัฐบาลอยู่เช่นกัน
ฉะนั้นเพื่อลดความเสี่ยงคงไปว่ากันเดือนเมษายน
แต่ถ้ารัฐบาลกระเหี้ยนกระหือรือจะเอาให้ได้เดี๋ยวนั้น ก็เตรียมตัวไว้ครับ ตั้งแต่คนคิดนโยบาย ยันลิ่วล้อที่เอานโยบายไปทำ โดนแน่
นี่…แอบหวังฝ่ายค้านอยู่เหมือนกันว่า จะซักฟอกแบบเน้นๆ เนื้อๆ ไม่ใช่รอเสียบ
เรื่องเวลาการอภิปรายยังไม่เคาะ แต่อย่าไปยึดติดเรื่องนี้มาก เพราะหากมีหมัดเด็ดจริง ๑๐ นาทีก็ล้มรัฐบาลได้
ดีกว่าหลายวันแล้วกลายเป็นแค่เวทีฝึกอภิปรายของสส. มันเปลืองน้ำ เปลืองไฟ เปลืองข้าวเปล่าๆ
วานนี้ “ชูศักดิ์” พูดอีกประเด็นให้ชวนคิด
“…เรื่องนี้ผมเคยบอกแล้วว่ายาก เพราะฝ่ายค้านไม่ได้ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีด้วย หากไปอภิปรายพาดพิงถึงรัฐมนตรี ซึ่งตรงนี้จะยุ่ง เพราะในญัตติไม่ได้บอกว่าอภิปรายรัฐมนตรีคนนี้
และท้ายที่สุดจะเกิดการประท้วงวุ่นวาย และคนที่ตัดสินเรื่องนี้ได้คือประธานสภาผู้แทนราษฎร…”
ก็ดีครับ…
อยากให้ฝ่ายค้านถลกหนังนายกฯ คนเดียว ไม่ต้องไปพูดแซะกระทรวงอื่น
แต่อีกขาหนึ่ง ห้ามรัฐมนตรีคนอื่นๆ ลุกขึ้นชี้แจงแทนนายกฯ นะครับ เพราะไม่มีการพาดพิงถึง ปล่อยนายกฯ รับเละคนเดียว
แบบนี้ถึงจะถูกต้อง
ไม่งั้นประท้วงกันวุ่น
แล้วไหน “ประธานวันนอร์” จะบอกให้ “หัวหน้าเท้ง” กาชื่อ “ทักษิณ” ออกจากญัตติอีกต่างหาก
ขืนใครเอ่ยชื่อ “ทักษิณ” องครักษ์พรึ่บ! แน่นอน
เพราะ “ทักษิณ” เป็นนายกฯ ที่ไม่เคยถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ไม่ใช่เพราะซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ แต่เพราะอิทธิฤทธิ์ของ รัฐธรรมนูญปี ๒๕๔๐ และการควบรวมพรรคของไทยรักไทย จนกลายเป็นเผด็จการรัฐบาล
เพราะกำหนดว่าหากจะอภิปรายนายกฯ ต้องใช้เสียง สส. ๒ ใน ๕ ซึ่งแยกออกจากการซักฟอกรัฐมนตรีที่ใช้เสียงสส. ๑ ใน ๕
ฝ่ายค้านในขณะนั้นจึงไม่มีเสียงมากพอที่จะยื่นญัตติซักฟอกนายกฯ ได้
ต่างจากรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ ใช้เสียง ๑ ใน ๕ ทั้งหมด
ฉะนั้นซักฟอกครั้งนี้ จะมีการประท้วงกันทุกๆ ๕ นาที อย่างแน่นอน
เวลาประท้วงจะมากกว่าเวลาอภิปราย
