ด้วยมาตรฐานยุติธรรม #เปลวสีเงิน

เปลว สีเงิน

ในความที่ไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย
ผู้ที่มีอำนาจมากที่สุด คือใคร รู้มั้ย?
ก็ “ประชาชน” ไง
เพราะรูปแบบประชาธิปไตย เขากำหนดให้ประชาชนเป็น “เจ้าของอำนาจสูงสุด”

แต่ไทยเป็นประชาธิปไตย “ทางอ้อม” คือให้ประชาชนใช้อำนาจบริหาร อำนาจนิติบัญญัติ และอำนาจตุลาการ ผ่าน “สถาบันทางการเมือง”!?

แล้ว “สถาบันทางการเมือง” มันคือตัวอะไร หน้าตาเป็นแบบไหน?
อยากรู้ ไปถามพวก ‘จานรัฐศาสตร์ ที่จ้อตามหน้าจอเขาดู แต่ถ้าถามผม ก็จะตอบว่า

“สถาบันทางการเมือง” มันก็คือ “ปลาเค็ม” ที่คนในสภา-ในทำเนียบใช้ “ทาจมูกแมว” เพื่อหลอกให้ “กินข้าวเปล่า” นั่นแหละ
มีแต่กลิ่นให้ดม ไม่มีเนื้อให้กินหรอก!

คนที่ให้นิยามประชาธิปไตย “สะท้อนจริง” มากที่สุด ผมเห็น มีอยู่คนเดียว
คือ “นายทักษิณ ชินวัตร”!

เขาเปรียบประชาชนในระบบเลือกตั้งเป็น “คนตาบอด”
ส่วนเขา “หัวหน้าพรรคการเมือง” ที่ลงเลือกตั้งเป็น “เสือ”

ยอมรับเลย ทักษิณให้นิยามประชาธิปไตยไทย ว่าด้วยอำนาจบริหาร-นิติบัญญัติ “ชัดเจน-ตรงจริงที่สุด”

ที่บ้านเมืองเต็มไปด้วยกังฉิน-กินเมือง ทั้งข้าราชการ ทั้งนักการเมือง แตะตรงไหน คอร์รัปชัน-สินบาท-สินบน ตรงนั้น ทุกอย่าง “ซื้อได้ด้วยเงิน” กระทั่ง “ความผิด-ความถูก”

นั่นก็เพราะประชาธิปไตยนั้น ชาวบ้านได้ดมแค่กลิ่น อำนาจอธิปไตยจริงๆ อย่าว่าแต่มีเลย แค่หน้าตาก็ไม่เคยเห็น
“รัฐบาล-รัฐสภา” นั่นแหละ เป็นเจ้าของอำนาจ-เป็นผู้ใช้อำนาจตัวจริง แต่ “อ้างประชาชน”!

ตำรารัฐศาสตร์ บริหาร-การปกครอง มีไว้หลอก
กระรอกลิ้น ปลิ้นปล้อน เล่ห์ลวง มีไว้ใช้จริง ในการบริหารและปกครอง

ที่เป็นแกนศรัทธาและเชื่อถือ ร้อยรัดสังคมชาติบ้านเมืองให้อยู่ได้ทุกวันนี้
ก็มีแต่ “สถาบันพระมหากษัตริย์”

กับ “สถาบันศาล” ที่ตัดสินคดีความภายใต้พระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์เท่านั้น เป็นที่พึ่ง-ที่หวังได้ ในครรลองครองธรรม

อย่างข่าวที่เพิ่งเปิดเผยและได้รับการเผยแพร่เมื่อวาน ผมจะยกมาให้อ่านกันตรงนี้อีกครั้ง
…………………………………….

31 ก.ค.2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า…..

เมื่อวันที่ 27 ก.ค.ที่ผ่านมา ที่ศาลอาญา “นายทักษิณ ชินวัตร” จำเลยในคดีประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112
ได้ยื่นคำร้อง “ขอเดินทางออกนอกราชอาณาจักร”

โดยศาลมีคำสั่งให้นัดไต่สวนคำร้องในวันที่ 30 ก.ค.ที่ผ่านมา เเละมีคำสั่งในวันเดียวกัน

วันนัดฟังคำสั่งโจทก์ จำเลย ทนายจำเลยมาศาล

หลังจากศาลได้ไต่สวนพยานแล้ว มีคำสั่งในทางไต่สวน สรุปได้ความว่า

จำเลยได้รับอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวระหว่างพิจารณาและห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักร

จำเลยมีความประสงค์เดินทางออกนอกราชอาณาจักรไป พำนักอยู่ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์(ดูไบ)ระหว่างวันที่ 1-16 ส.ค.2567
เพื่อพบแพทย์ซึ่งเคยตรวจรักษาอาการป่วยของจำเลยเกี่ยวกับ ปอดอักเสบเรื้อรัง,ระบบหายใจและหลอดเลือดหัวใจ, เอ็นไหล่ขวาฉีกขาด และหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อน ในสถานพยาบาล ที่ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ในวันที่ 2 เเละ 8 ส.ค.2567

โดยช่วงเวลาที่จำเลยพำนักอยู่ ณ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จำเลยยังมีนัดหมายกับบุคคลสำคัญหลายคน เกี่ยวด้วยภารกิจส่วนตัวของจำเลยหลายเรื่อง

จำเลยจะเดินทางกลับเข้ามาในราชอาณาจักรก่อนวันนัดตรวจพยานหลักฐาน ซึ่งศาลนัดไว้ในวันที่ 19 ส.ค.2567

(ศาล) เห็นว่า แม้จำเลยอ้างตนเองเป็นพยานเบิกความยืนยันถึงความจำเป็นที่ต้องเดินทางออกนอกราชอาณาจักร โดยมีเอกสารหลักฐานจากแพทย์สนับสนุน และนัดพบบุคคลสำคัญหลายคน

โดยช่วงเวลาที่จำเลยพำนักอยู่ ณ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เป็นช่วงเวลาก่อนกำหนดนัดตรวจพยานหลักฐานก็ตาม

แต่อาการป่วยของจำเลยเป็นโรคที่เกิดแก่บุคคลทั่วไป และแพทย์ในประเทศไทยตรวจรักษาเป็นประจำอยู่แล้ว

การเดินทางไปพบบุคคลสำคัญของจำเลยเป็นเรื่องส่วนตัวของจำเลย ทั้งไม่มีพยานหลักฐานยืนยันชัดแจ้งถึงความจำเป็นดังกล่าว

ประกอบกับช่วงระยะเวลาที่เดินทาง ใกล้กับวันนัดตรวจพยานหลักฐาน
ในชั้นนี้ ไม่สมควรอนุญาตให้จำเลยเดินทางออกนอกราชอาณาจักร ยกคำร้อง
……………………………………

ทีไป “โชว์ตัว-โชว์พาว” แข็งแรง-คำรามยังกะเสือหลุดจากกรง แต่ทีไปศาลละก็ แหม…ยังกะแมวย่องเบา!

ก็มาท้าวความกันหน่อย…

ทักษิณนั้น ใช่ว่า ๒๒ สิงหา.ได้รับ “ใบบริสุทธิ์” จากราชทัณฑ์แล้ว จะผุดผ่องจากคดีความ

ยังมีอีกคดีครับ คือเมื่อ ๑๘ มิ.ย.๖๗ อัยการได้ส่งฟ้อง นายทักษิณ ต่อ “ศาลอาญา” ในข้อกล่าวหา

ฐานร่วมกัน…..
หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท ตามมาตรา ๑๑๒
ศาลได้ประทับรับฟ้องไว้แล้ว คดีเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาลอาญาแล้ว

ศาลอนุญาตให้ประกันตัว ด้วยหลักทรัพย์ ๕ แสนบาท และนัดตรวจพยานหลักฐานวันที่ ๑๙ สิงหา.นี้ ทั้งห้ามออกนอกประเทศ เว้นแต่ได้รับอนุญาต

เมื่อ ๒๗ ก.ค.ทักษิณจึงดอดไปยื่นคำร้อง ขอเดินทางไปดูไบ อ้างไปพบแพทย์และมีนัดบุคคลสำคัญอะไรของเขานั่นแหละ!

ศาลพิจารณาคำร้องแล้ว มีคำสั่งว่า “ไม่สมควรอนุญาตให้จำเลยเดินทางออกนอกราชอาณาจักร” ด้วยเหตุผล ว่า

“………อาการป่วยของจำเลยเป็นโรคที่เกิดแก่บุคคลทั่วไป และแพทย์ในประเทศไทยตรวจรักษาเป็นประจำอยู่แล้ว
การเดินทางไปพบบุคคลสำคัญของจำเลยเป็นเรื่องส่วนตัวของจำเลย ทั้งไม่มีพยานหลักฐานยืนยันชัดแจ้งถึงความจำเป็นดังกล่าว”

ต้องบอกว่า “ชอบแล้ว”

เพราะที่ทักษิณอ้าง ปอดอักเสบเรื้อรัง, ระบบหายใจและหลอดเลือดหัวใจ, เอ็นไหล่ขวาฉีกขาด และหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อน ต้องไปพบแพทย์ที่ดูไบ นั้น

อยากรู้จักชื่อหมอที่ออกใบรับรองให้ทักษิณนำมาเป็นเอกสารยืนยันอาการโรคที่ต้องไปพบแพทย์ดูไบซะจริงๆ

หน้าชามั้ย..หมอ ที่ศาลบอกว่า….
“อาการป่วยของจำเลยเป็นโรคที่เกิดแก่บุคคลทั่วไป และแพทย์ในประเทศไทยตรวจรักษาเป็นประจำอยู่แล้ว”

หรือหน้ามันด้านไปนานแล้ว?!

๒๒ สิงหา.๖๖ เข้าเรือนจำวันแรกปุ๊บ นายสิทธิ สุธีวงศ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์และ นพ.วัฒน์ชัย มิ่งบรรเจิดสุข ผอ.ทัณฑสถาน โรงพยาบาลราชทัณฑ์ แถลงปั๊บ

นายทักษิณอยู่ในกลุ่มเปราะบาง มีโรคประจำตัวต้องเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง และพบประวัติเป็นหลายโรค ได้แก่

๑. โรคหัวใจ ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด

๒. มีปัญหาปอด มีประวัติเป็นปอดอักเสบรุนแรงจากการติดเชื้อโควิด-19 มีพังผืดในปอด ทำให้เหนื่อยง่าย ต้องได้รับการดูแลโดยทีมแพทย์

๓. ความดันโลหิตสูง

๔. ภาวะเสื่อมตามอายุ กระดูกสันหลังเสื่อมในหลายระดับ ตรวจด้วยระบบ MRI พบมีการกดทับเส้นประสาท ส่งผลให้ปวดเรื้อรัง การเดินทรงตัวผิดปกติ

ราชทัณฑ์พาเหาะส่งโรงพยาบาลตำรวจกลางดึก รุ่งเช้า ๒๓ สิงหา. “พล.ต.ท.โสภณรัชต์ สิงหจารุ” นายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ บอก

“ตรวจคลื่นหัวใจไฟฟ้า ใช้เครื่องเอคโม่ พบยังมีอาการน่าเป็นห่วง ตรวจปอด, หัวใจ ยังมีอาการน่าเป็นห่วง”
แต่รายละเอียดบอกไม่ได้ หมอใหญ่รพ.ตำรวจอ้าง “มีกฎหมายคุ้มครองผู้ป่วย ต้องได้รับอนุญาตทั้งตัวผู้ป่วยและญาติผู้ป่วย”

ช่วงเป็น “นักโทษเทวดา” ร่อแร่จะปางตาย แต่พอได้พักโทษเท่านั้น เหมือน “ปล่อยฉลามลงทะเล-ปล่อยจระเข้ลงบึง”

ทุกโรค “หายเหมือนปลิดทิ้ง” เดินสาย-โชว์ตัว สังสรรค์-สั่งการไปทั่วประเทศ ขึ้นเวที “จับไมค์-ชนแก้ว” แม้วคนเดิมมาแล้ว มาเป็นนายประเทศ!

ทักษิณเห็นศาลมาตรฐานเดียวกับแพทยราชทัณฑ์และโรงพยาบาลตำรวจหรืออย่างไร?

นึกจะลี้การเมืองช่วงตัดสินคดียุบพรรคและคดีนายกฯเศรษฐา ก็อ้างป่วยด้วยโรคนั้น-นี้ จะไปพบแพทย์ขึ้นมาอ้างอีก

จะบอกอะไรให้…ทักษิณ ถ้าป่วยจริงและเรื้อรังเป็นปีรักษาไม่หายแบบนี้ ไม่ต้องรักษาหรอก เข้าใจที่พูดนะ

ถ้าบอกสถานพยาบาลที่ดูไบแพทย์มาตรฐานกว่า ก็เท่ากับตบหน้า “หมอใหญ่-หมอเล็ก” โรงพบยาบาลตำรวจเขานะ

และที่จริงแล้ว สถานพยาบาลในโลก ที่องค์กร JCI
รับรองคุณภาพผ่านการสำรวจจริงจัง พร้อมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ

เฉพาะในภูมิภาคนี้ ไทยติด ๑ ใน ๕ สถานพยาบาลระดับ “เหรียญทอง” ของโลกเชียวนะ

รองลงมาจาก สหรัฐอเมริกา, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, ซาอุดีอาระเบีย และบราซิล ก็ไทยเรา นี่แหละ

ฉะนั้น ไม่ต้องไปหรอก อยู่ในประเทศนี้แหละ

คราวที่แล้ว ไปดูโอลิมปิกที่จีน ไปซะตั้ง ๑๗ ปี กว่าจะกลับ

และนี่ ถ้าให้ออกนอกประเทศไปดูไบอีก
อีก ๑๗ ปี กว่าจะกลับ มิต้องห่อผ้าขาวมาขึ้นศาลรึนั่น!?

เปลว สีเงิน
๑ สิงหาคม ๒๕๖๗

Line Open Chat *เพิ่มช่องทางการรับข่าวสาร จากเว็บไซต์ *อ่านคอลัมน์ เปลว สีเงิน ก่อนใคร *ส่งตรงถึงมือทุกคืน *เปิดกว้างเพื่อแฟนคอลัมน์พูดคุยแบบกันเอง ทุกเรื่องราว ข่าวสารบ้านเมือง สังคม ฯลฯ

 

 

Written By
More from plew
“ตำแหน่งมี” แต่ “ตำรวจเมิน” – เปลว สีเงิน
คลิกฟังบทความ..⬇️ เปลว สีเงิน เมื่อวาน เป็น “โจ๊ก อัคนี” แต่วันนี้ กลับเป็น “โจ๊ก วารี” เงียบฉี่-หายต๋อมซะงั้น!?
Read More
0 replies on “ด้วยมาตรฐานยุติธรรม #เปลวสีเงิน”