แนะรัฐบาลเศรษฐา ใช้เงินดิจิทัลหมื่นบาท จ่ายสวัสดิการประชาชน

หลังจากรัฐบาลเศรษฐาได้ประกาศใช้งบประมาณมากถึง 560,000 ล้านบาทเดินหน้านโยบายดิจิทัลวอลเลตแจกเงินจำนวน 10,000 บาทให้กับประชาชนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป แต่ยังไม่มีความชัดเจนในการผลักดันนโยบายด้านสวัสดิการ รวมทั้งเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ

โดยสภาองค์กรของผู้บริโภคหรือสภาผู้บริโภคร่วมกับเครือข่ายประชาชนเพื่อรัฐสวัสดิการ เครือข่ายรัฐสวัสดิการเพื่อความเท่าเทียมและเป็นธรรม (We Fair) และคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้จัดเวทีสาธารณะการบ้านรัฐสวัสดิการในรัฐบาลเศรษฐาที่โรงแรม ทีเค พาเลซ คอนเวนชั่น

รศ.ดร.ชัยรัตน์ เอี่ยมกุลวัฒน์ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงแนวคิดด้านนโยบายรัฐสวัสดิการของพรรคเพื่อไทยว่า ยังไม่มีการประกาศนโยบายที่ชัดเจนและไม่เคยได้ยินการให้สวัสดิการผู้สูงอายุ 3,000 บาทถ้วนหน้า ทั้งที่การช่วยเหลือเด็กและผู้สูงอายุเป็นเรื่องสำคัญ เพราะว่าเป็นเรื่องช่วยเหลือคนที่เปราะบางหรือค่อนข้างที่จะมีรายได้ต่ำ

รศ.ดร.ชัยรัตน์ กล่าวต่อไปว่า ในส่วนงบประมาณ 560,000 ล้านบาทนั้น โดยส่วนตัวเห็นด้วยกับการนำมากระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะเป็นแนวนโยบายใหม่ที่ต้องลองจึงจะเห็นผลว่าจะเกิดผลกระทบอย่างไร ซึ่งหากจะเสนอให้นำเงินก้อนนี้มาแจกให้กับผู้สูงอายุและเด็ก เลือกกลุ่มผู้สูงอายุที่อายุมากกว่า 60 ปีมีรายได้และการออมกว่าต่ำค่าเฉลี่ยของคนในประเทศ ถ้ากลุ่มนี้ได้เงินไปโดยใช้งบประมาณ 450,000 ล้านบาทให้กับผู้สูงอายุ 1 ปีซึ่งได้แค่ 1 ปี ไม่ใช่ได้ทุกปี คิดว่าเศรษฐกิจจะมีการเติบโตมากกว่าการแจกถ้วนหน้า เพราะว่าคนที่รายได้ค่อนข้างต่ำมีแนวโน้นจะบริโภคในสัดส่วนที่สูงมาก จึงเห็นผลด้านกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากกว่าแจกคนละหนึ่งหมื่นบาทแล้วก็จะได้ใช้เงินไปในกลุ่มที่เดือดร้อนจริง ๆ

ขณะที่ ดร.สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวว่า หากวิเคราะห์พรรคเพื่อไทยแล้วพบว่า นโยบายสวัสดิการไม่ใช่นโยบายเรือธงของพรรค แต่ให้ความสำคัญกับนโยบายเศรษฐกิจ เพราะเห็นว่าถ้าเศรษฐกิจดีคุณภาพชีวิตของทุกคนจะดีขึ้นด้วยจึงใช้นโยบายเศรษฐกิจเป็นตัวกระตุ้นให้ทุกระบบขับเคลื่อน โดยมองที่ฐานเสียงของพรรคเป็นเรื่องสำคัญ

“ถ้าอ่านเกมแบบนี้ นโยบายสวัสดิการจะไปทางไหนขึ้นอยู่กับว่า นโยบายเศรษฐกิจจะไปทางไหนก่อน ถ้าเศรษฐกิจดีอาจจะให้น้ำหนักมาทางสวัสดิการมากขึ้น จึงต้องรอดูสัก 1 ปี” ดร.สมชัยกล่าว

ดร.สมชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า หากจะเดินหน้านโยบายสวัสดิการต้องปฏิรูปภาษีเพื่อหาเงินให้ได้มากขึ้น เนื่องจากประเทศไทยอยู่ในภาวะสังคมผู้สูงอายุจึงต้องคิดเรื่องนี้อย่างจริงจัง แต่เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยไม่ทำเพราะเกรงว่าจะกระทบต่อกลุ่มทุน และเห็นว่าหากทำให้เศรษฐกิจโตจะสามารถแก้ปัญหาได้ทุกเรื่อง ภาษีก็ไม่ต้องขึ้น และสามารถตอบโจทย์ทุกเรื่องได้

ด้าน นายนิติรัฐ ทรัพย์สมบูรณ์ ผู้อำนวยการเครือข่าย We Fair หรือ ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (P-move) กล่าวว่า ปัจจุบันเส้นความยากจนอยู่ 2,803 บาท ทางเครือข่ายเสนอให้จ่ายเบี้ยยังชีพคนชราที่ 3,000 บาท ให้มากกว่าเส้นความยากจน ซึ่งสถานการณ์ที่เป็นจริงในขณะนี้มีคนจนที่อยู่ต่ำกว่าเส้นความยากจนของประเทศมีทั้งหมดประมาณ 4.4 ล้านคน และมีคนเกือบจนอีก 4.8 ล้านคน ในขณะที่หนี้ครัวเรือนมีประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี จึงพบว่าไทยมีความเหลื่อมล้ำสูง เพราะตอนนี้มีเศรษฐีเพียง 40 ครอบครัว ที่มีทรัพย์สินคิดเป็นจีดีพี 28 เปอร์เซ็นต์ ด้วยสาเหตุหลักเพราะนโยบายเศรษฐกิจทุนนิยม แต่ตอนนี้เรือธงของพรรคเพื่อไทยก็คือจะใช้สิ่งที่เป็นความล้มเหลวมาตลอดคือ รวยกระจุกจนกระจายมาผลิตซ้ำ

ในส่วนข้อเสนอการจ่ายเบี้ยยังชีพ 3,000 บาท นายนิติรัฐ กล่าวต่อไปว่า ลองจินตนาการว่า ถ้าเราได้เบี้ยยังชีพ 3,000 บาท ในแต่ละปีนึจะใช้งบประมาณไม่เกิน 300,000 – 400,000 กว่าล้านบาท เราจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ในทุกเดือนในรอบเดือนหรือเดือนละประมาณ 30,000 ล้านทันที ขณะที่แรงงานอุตสาหกรรมที่เป็นลูกหลานซึ่งต้องดูแลผู้สูงอายุเยอะขึ้นไม่ต้องทำงานล่วงเวลา อย่างน้อย 30 ชั่วโมง ถ้าได้ชั่วโมงละ 100 บาท ชีวิตที่มีเวลาดูแลลูกมากขึ้น 1 ชั่วโมงมันเป็นเศรษฐศาสตร์แห่งความสุข นี้คือการพัฒนาคุณภาพชีวิต เพราะฉะนั้นเศรษฐศาสตร์กระแสหลักที่มองเฉพาะตัวเลขไม่สอดคล้องกับการพัฒนาคุณภาพชีวิต

“ถ้ามีเงิน 560,000 ล้านบาทตั้งเป็นหลัก เราจะได้สวัสดิการถ้วนหน้า 3 อย่างทันที ได้แก่ เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุประมาณ 11 ล้านคน เงินอุดหนุนเด็กถ้วนหน้า 4.2 ล้านคน สวัสดิการเงินอุดหนุนผู้พิการและเด็กแรกเกิด ทั้ง 3 กลุ่มหากได้ 3,000 บาทถ้วนหน้า จะมีเงินเหลืออีก 12,000 ล้านบาท ซึ่งอาจนำไปเพิ่มในส่วนงบประมาณรายหัวให้กับบัตรทองได้ด้วย”

ส่วน ดร.เดชรัต สุขกำเนิด ผู้อำนวยการ Think Forward พรรคก้าวไกล กล่าวว่า สำหรับประเด็นเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ควรต้องไปคุยกับรัฐบาล เพราะ การกระตุ้นเศรษฐกิจอาจจะดูเหมือนว่าเป็นสิ่งที่ทำให้ตัวเลขเศรษฐกิจดีขึ้นจริง แต่เราลองนึกภาพลักษณะการใช้เงินว่า อยู่ ๆ เหมือนได้เงินมา 10,000 บาทและต้องใช้ให้หมดภายในหกเดือน เทียบกับได้ 3,000 บาททุกเดือนวิธีการใช้เงินต่างกันไหมและอย่าพึ่งพูดตัวเลขเงิน แต่ว่าถ้าพูดถึงวิธีการได้เงินแบบนี้ การวางแผนใช้เงินก็จะต่างกัน มีโอกาสสูงมากที่ได้รับเงินในระยะสั้นคราวเดียว อาจจะใช้ไปในลักษณะที่เป็นการซื้อสินค้าที่อาจจะไม่ใช่การลงทุน แต่เป็นสินค้าที่ดูเหมือนว่าอาจจะไม่ได้จำเป็นก็ได้

“จังหวะนี้มันเหมือนกับลาภลอยและเราก็รีบใช้ แต่ถ้าเราได้ 3,000 บาททุกเดือนและเราก็จะเริ่มวางแผนว่าแต่ละเดือนเราจะมาใช้ในการบริโภค การปรับปรุงคุณภาพชีวิต หรือลงทุนอย่างไร” ดร.เดชรัต กล่าว

ด้าน นายเดโชนุชิต นวลสกุล โฆษกพรรคเป็นธรรม กล่าวว่า นโยบายสวัสดิการเบี้ยยังชีพผู้อายุ 3,000 บาทอยู่ในแนวคิดของพรรคเป็นธรรมที่ต้องทำ แต่มองไปไกลว่าจะทำอย่างไรให้ผู้สูงอายุมีรายได้ซึ่งเชื่อว่าคนที่มีอายุ 60 ปียังสามารถทำงานได้

“ต้องเปลี่ยนแนวคิดออกนอกกรอบของผู้บริหารประเทศ โดยต้องไม่คิดว่ากระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นกระทรวงเกรดซีหรือเกรดดี แต่ต้องเป็นกระทรวงเกรดเอ เพราะถือว่าเป็นเรื่องของชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน เราจะมีโครงสร้างใหญ่โตจะมีอาวุธยุทโธปกรณ์มากมาย แต่ถ้าคนในประเทศเราอ่อนแอ เราจะไปสู้กับประเทศอื่นได้ยังไง เพราะฉะนั้นผมคิดว่ามันถึงเวลาที่จะทวงสิทธิ์ของเราคืน” เดโชนุชิตกล่าว

สำหรับ นายสงกรานต์ จิตสุทธิภากร ตัวแทนพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า อยากให้รัฐบาลใหม่เปลี่ยนวิธีคิดมองกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ไม่ได้เป็นกระทรวงสงเคราะห์ เนื่องจากอีกหน่อยจะมีขนาดใหญ่กว่ากระทรวงมหาดไทยเนื่องจากผู้สูงอายุมีจำนวนมากขึ้นและรัฐบาลควรต้องจัดสรรงบประมาณและอุดหนุนเต็มที่

“ควรจัดลำดับใหม่ว่างบผู้สูงอายุควรจะอยู่ที่กระทรวง พม. ที่เดียว แล้วให้กำหนดชัดเจนมาจากสำนักงบประมาณเลย เนื่องจากตอนนี้เบี้ยผู้สูงอายุอยู่ที่มหาดไทย และต้องใช้วิธีตั้งเบิกตามช่วงเวลา ที่ให้มีปัญหาในการจัดการและพัฒนาในภาพรวม” สงกรานต์กล่าว

สุดท้าย น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค กล่าวว่า สภาองค์กรของผู้บริโภคสนับสนุนและคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากสิทธิของผู้บริโภคที่สำคัญคือสิทธิที่เข้าถึงการบริการที่จำเป็นในการดำรงชีวิต ซึ่งสภาองค์กรผู้บริโภคได้หารือว่าจะแก้ไข พรบ.คุ้มครองผู้บริโภคให้รวมถึงสิทธิที่ผู้บริโภคควรจะได้รับความจำเป็นขั้นพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่อยู่อาศัยหรือเรื่องสวัสดิการขั้นพื้นฐาน

“ปัจจุบันงบประมาณแผ่นดินอยู่ที่ประมาณ 3.3 ล้านล้านบาท ถ้าจัดสรรให้ผู้สูงอายุ 12 ล้านคน คนละ 3,000 บาทก็จะใช้งบประมาณ 400,000 ล้านบาทซึ่งรัฐบาลควรจัดสรรมาให้ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ของงบประมาณแผ่นดินของทุกปีสำหรับการสร้างหลักประกันด้านรายได้ของผู้สูงอายุ” น.ส.สารีกล่าวและว่า “เราก็ตั้งคำถามว่าถ้าจริงๆ ทุกคนมีหลักประกันด้านรายได้ของตัวเองโดยเฉพาะผู้สูงอายุคนละ 3,000 บาทสูงกว่า 2,804 บาทซึ่งเป็นเส้นความยากจน ก็น่าจะเรียกว่าเซฟตี้เนตของครอบครัว อย่างน้อยเมื่อลูกตกงานกลับไปอยู่กับพ่อแม่ได้ สร้างความมั่นคงทางรายได้ แทนที่เราจะต้องมีโครงการพิเศษหรือการใช้เงินพิเศษทุกครั้งที่เกิดปัญหาอย่างกรณีโควิด 19 เพราะการสร้างหลักประกันให้คนเป็นเรื่องสำคัญ” น.ส.สารีกล่าว

Written By
More from pp
ครั้งแรกในไทย! Nama Chocolate ‘2 ชั้น’ จับคู่ความอร่อยของช็อกโกแลตและบราวนี่ในคำเดียว พร้อมรังสรรค์ร่วมกับ ‘เชฟต้น’ จากร้านดาวมิชลิน Le Du ต้อนรับเดือนแห่งความรัก
Kyo Roll En โดยเชฟเจ้าของ ‘เดช คิ้วคชา’ เปิดตัว Limited Edition “Nama Chocolate” ช็อกโกแลตสดสูตรฮอกไกโดแบบ ‘2 ชั้น’ ในคำเดียว ร่วมรังสรรค์ความพิเศษพร้อม Top Chef ‘ต้น’ ธิติฏฐ์ ทัศนาขจร แห่งร้าน “Le...
Read More
0 replies on “แนะรัฐบาลเศรษฐา ใช้เงินดิจิทัลหมื่นบาท จ่ายสวัสดิการประชาชน”