เปลว สีเงิน
“นักข่าวทำเนียบ” นี่….
ยุคนายกฯ ประยุทธ์ สัมภาษณ์แต่ละที “ชงเข้ม” จนขมคอ
แต่ยุคนายกฯ เศรษฐา “ชงหวาน” จนคลื่นไส้!
เรื่องเงินดิจิทัล ๕.๖ แสนล้าน ที่เพื่อไทยตั้งโต๊ะโม้แหลกเทคโนโลยีรูปแบบแจกไหลรื่น ตอนหาเสียง
ถึงวันนี้ เป็นรัฐบาล เริ่มโครงการแจก ก็เริ่มฝืดคอ
ผมเนี่ย…มึนตีน ยิ่งกว่าก้าวไกล ชนะที่ ๑ แต่ต้องไปเป็นฝ่ายค้านจำใจ แบบ ง่าว..เครียด..อ่อนหัด..กินเหล้า..มัวเมาเรื่องเพศ ซะอีก!
เพราะแม่งานคือ “รมช.จุลพันธ์” รวมทั้งตัวนายกฯ วันนี้พูดแบบหนึ่ง พรุ่งนี้ พูดไปอีกแบบ รุ่งขึ้นอีกวัน อ้าว..เปลี่ยนไปอีกแล้ว
จากเหรียญดิจิทัล ไม่ใช้แอปเป๋าตัง ไปเป็น ดิจิทัล โทเคน ใช้แอปเป๋าตัง จากใช้แอปเป๋าตัง ไม่เอาแล้ว เปลี่ยนเป็นซูเปอร์แอป
สรุปแล้ว แจกเงินดิจิทัลคนละ ๑ หมื่น ๕๖ ล้านคน ในงบ ๕.๖ แสนล้านบาท ที่ตั้งโต๊ะแถลงเป็น “นโยบายแจก” ตอนหาเสียงนั้น
เข้าตำรา “โม้ไว้ก่อน พ่อแม้วสอนไว้”
ส่วน “ทำได้-ทำไม่ได้” ค่อยกลิ้งไปทีหลัง ประเด็นใหญ่ ทำยังไง จะหลอกล่อพวก “คนตาบอด” ให้เดินมาเข้าปากเสือเท่านั้น?
จึง “ไม่แปลก” เลย…..
ที่ถึงวันนี้ รัฐบาลยังตอบให้สะเด็ดน้ำไม่ได้ว่า จะแจกรูปแบบไหน แจกอย่างไร และจะเอาเงิน ๕.๖ แสนล้านจากที่ไหนมาแจก?
ชัดอยู่ ๓ อย่าง ๑.ไม่แจกเป็นเงินสด ๒.ไม่ใช้ “แอปเป๋าตัง” ของลุงตู่ และ
๓.ต้องแจกเป็น “ดิจิทัล โทเคน” ผ่าน “แอปเป๋าตัง” ที่ต้องลงทุนสร้างระบบขึ้นใหม่เท่านั้น ชื่ออะไรยังไม่รู้
แต่เมื่อวาน รมช.จุลพันธ์, นายกฯ ประสานเสียงเรียกว่า “ซูเปอร์แอป”
โยกโย้นัก ผมตั้งให้ดีกว่า ชื่อ “แอป-ทักษอร” เป็นไง!
ที่จริง เรื่องนี้ หัวใจที่นักข่าวต้องเค้นคอนายกฯ ตอบให้ชัด มี ๓ คำถามเท่านั้น คือ
๑.ในเมื่อจะแจก ทำไมไม่ “แจกเงินสด” เข้าแอปเป๋าตัง “ตรงไป-ตรงมา” ไปเลย
๒.มีเหตุผลอะไร ที่ต้องแจกเป็น “ดิจิทัล โทเคน” คือคูปองไปแลกของเฉพาะที่ร้านลงทะเบียน
๓.เอาเงินตั้ง ๕๖๐,๐๐๐ ล้านบาท จากที่ไหนมาแจก?
แต่เมื่อวาน (๑๗ ตค.) ตัวนายกฯ เศรษฐอยู่เมืองจีน แต่ใจอยู่กับเรื่องแจก ๕.๖ แสนล้าน ที่เมืองไทย
แถลง…โดยเกริ่นเรื่องแบบ “ร้อนตัว-ร้อนใจ” ถึงประเด็นที่อื้ออึงอยู่ตอนนี้ ว่า
รัฐบาลจะจ้างบริษัทเครือนายกฯ ทำแอปฯ รองรับการแจกเงินดิจิทัล เป็นตัวเลขมากถึง ๑๒,๐๐๐ ล้านบาท นั้น
เศรษฐายืนยันว่า “ไม่มีเรื่องค่าคอมมิชชั่น-ไม่มีการหักเบี้ยบ้ายรายทาง หรือถูกหักเงิน ๓%”
และ “ไม่มีการจ้างเป็นหมื่นล้านบาท” อย่างที่กล่าวหา
แต่ลงท้าย เศรษฐากลับทิ้ง “ปริศนาคำใบ้” ไว้คำหนึ่งว่า
“แต่…ตัวเลขน้อยมาก….”
และ “ไม่ใช่ประเด็นแน่นอน”!?
นายกฯ ยังดีแคลร์ตัวเองต่อไปว่า….
“ส่วนที่มีการกล่าวหาว่าเป็นการจ้างบริษัทในเครือข่ายของผมนั้น ขอให้ระบุชื่อมาให้ชัด เพราะ “แสนสิริ” ไม่ได้ทำแอปฯ แน่นอน
ส่วน “บริษัทเอ็กซ์สปริง แคปปิตอล” (XPGX ) ที่ผมเคยเป็นกรรมการอยู่ ไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องแน่นอน ขอให้บันทึกว่า ๒ บริษัทดังกล่าว ไม่ได้เข้ามารับงาน”
นี่ถ้าเป็นนายกฯ ประยุทธ์ตอบแบบนี้นะ นักข่าวที่ตามไปจีนด้วย ต้องทั้งซัก-ทั้งขยี้ จนเปื่อยยุ่ยเป็นปุ๋ยอยู่จีนแน่
เช่นในประเด็นที่เศรษฐาบอก….
“แต่…ตัวเลขน้อยมาก” นั่นน่ะ หมายความว่าตอนนี้ “มีการจ้างบริษัทเอกชนจัดทำแอปฯ รองรับการแจกเงินอยู่จริงใช่มั้ย?” เป็นต้น
แต่นี่ เป็นนายกฯ เศรษฐา ไม่ใช่นายกฯ ประยุทธ์ นักข่าวจึงเชื่อและเชื่อง ชนิดสุดใจ
นอกจากไร้ข้อสงสัยแล้ว ยังมีความเห็นอก-เห็นใจนายกฯเศรษฐาและ “ชงหวาน” เป็นคำถาม “เอื้ออาทร” ให้อีกตะหาก ว่า
“การกล่าวหาลักษณะนี้ เป็นการจงใจมากเกินไปหรือไม่?”
นายกฯ ก็ดูดจ๊วบ เป็นโอเลี้ยง ชงหวานเจี๊ยบไปเท่านั้น
กลัวจะหวานยังไม่พอ ยังชงต่อ….
“นายกฯ มีความมั่นใจในข้อมูล แต่เหตุใด จึงไม่เลือกชี้แจงให้สังคมเข้าใจ?”
โอยยย โอยยย…เอากันถึงขนาด “เบาหวานขึ้นตาเลยนะเนี่ย”!
คำถามง่ายๆ ที่คนทั้งเมืองและทั้งโลกอยากรู้เหตุผล มีคำถามเดียว ว่า
“เมื่ออยากแจก…….
ทำไมไม่แจกเงินสดไปเลย ต้องยักเยื้องไปแจกเป็นคูปองซื้อสินค้าในรูป “ดิจิทัล โทเคน” เพื่ออะไร?”
แต่นักข่าวไม้ประดับ “ไม่ถามซ้ากกกคำ”!
เอาละ ขอผม “ชงหวาน” เอาใจนายกฯมั่ง จริง..ตามที่เศรษฐาบอก
บริษัท “เอกซ์สปริง” ที่เศรษฐาเคยเป็นกรรมการอยู่ไม่เกี่ยวข้องแน่
เพราะ “แสนสิริ” ทำอสังหาฯ ไม่ได้ทำแอป
และบริษัท “เอกซ์สปริง” ที่เแสนสิริถือหุ้นใหญ่ ก็ไม่ได้ทำแอป เป็นบริษัท “ผู้ให้บริการระบบเสนอขาย” สิริฮับโทเคน” เท่านั้น
สรุปเป็นว่า “ดิจิทัล โทเคน” ที่จะแจก ฟังตามเศรษฐาแถลง มีการจ้าง “เอกชน” ทำแอปฯ แน่ แต่บริษัทไหนไม่รู้
ส่วนค่าทำระบบแอป “มีแน่”
เศรษฐา พูดแบบ “เรียงตัวจิ๋ว” ว่า “แต่ตัวเลขน้อยมาก”
คือที่ลือกันว่าระดับ ๑๒,๐๐๐ ล้านบาทนั้น ไม่ถึงแน่
อาจจะแค่ ๙,๙๙๙ ล้านบาท หรือ ๑๑,๙๙๙ ล้านบาท ยังไงๆ ก็ไม่ถึงหมื่นล้านหรือหมื่นสองพันล้านแน่!
ต้องรู้ไว้อย่าง ว่า “ดิจิทัล โทเคน” ประเภทที่รัฐบาลจะออก เป็นประเภทคูปอง
ใช้แลกซื้อ “สินค้าบริการ” กับร้านค้าที่ลงทะเบียนเท่านั้น
ชาวบ้านเอาไป “แลกเงินสด” ไม่ได้!
เหตุที่ต้องซื้อกับร้านค้าลงทะเบียน เพราะจะได้เข้าระบบภาษี หัก VAT ๗% เป็นทอดๆ ไป
จนถึงร้านค้าสุดท้าย ครบ ๖ เดือน เอาไปขึ้นเงินสด ก็เสีย VAT อีก ๗% คำนวนแล้ว รัฐจะได้ส่วนนี้ กลับเข้าคลังราวๆแสนกว่าล้านบาท
เหตุผลใด “เศรษฐา-เพื่อไทย” ต้องแจกเป็นดิจิทัล โทเคน แทนเงินสด เขาไม่ยอมบอก
แต่รู้ไว้อย่าง โลกนี้ “ไม่มีของฟรี”
“นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล” อดีตรมว.คลัง เคยโพสต์เฟซไว้ตอนหนึ่งว่า…….
“BBC สัมภาษณ์ “นายสถาพน พัฒนะคูหา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้ง “บริษัท สมาร์ทคอนแทรคท์ (ไทยแลนด์) จำกัด”
รัฐไม่จำเป็นต้องพัฒนาบล็อกเชนใหม่ จะได้ไม่คุ้มเสีย เพราะมีผู้ให้บริการ “ดิจิทัล วอลเล็ต” และโมบายแบงกิ้ง หลายแอปฯ อยู่แล้ว
เช่น เป๋าตัง, ทรูมันนี, เค พลัส, เอสซีบี อีซี เป็นต้น ซึ่งสามารถรองรับความต้องการของรัฐบาลอยู่แล้ว
ถ้าจะสร้างระบบใหม่ ให้รองรับคนใช้ 56 ล้านราย
(เทียบกับ เอไอเอส 45 ล้านราย, แอปฯ เป๋าตัง 40 ล้านราย, แอปฯกรุงไทย เน็กซ์ 17 ล้านราย, แอปฯ เคพลัส 19 ล้านราย)
ระบบต้องใหญ่มากและงบประมาณลงทุนจะแพงมาก
ตัวอย่าง “ธนาคารกรุงไทย” ที่ให้บริการ “แอปฯเป๋าตัง” นั้น ในแต่ละปี ต้องใช้งบประมาณลงทุนด้านไอที มากถึงปีละ 1.1 – 1.2 หมื่นล้านบาท….ฯลฯ……..
…..เขาเตือนว่า การกำหนดเป้าหมายจะแจกเงินให้ทันภายในไตรมาสแรกของปีหน้า นั้น ระยะเวลาในการพัฒนาและทดสอบระบบยักษ์ จะน้อยเกินไป
จะมีปัญหาความเสี่ยง “ข้อมูลรั่วไหล”
“รชฏ เลียงจันทร์” นักวิเคราะห์ สายงานวิจัย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เคยเผยแพร่บทความไว้
“เทคโนโลยีบล็อกเชน จะมีปัญหาเมื่อมีผู้ใช้จำนวนมาก เพราะธุรกรรมบนบล็อกเชน จะต้องมียืนยัน และตรวจสอบไขว้ไป-ไขว้มา
ยิ่งเครือข่ายบล็อกเชนมีผู้ใช้จำนวนมาก ระบบจะยิ่งใช้เวลานานขึ้น ขณะนี้ บล็อกเชนของบิตคอยน์ ใช้เวลาตรวจสอบเพื่อโอนเงินนานถึง 10 นาที
บล็อกเชนของบิตคอยน์ จึงเหมาะสำหรับการโอนเงินข้ามประเทศ เพราะถึงแม้ใช้เวลา 10 นาที แต่ระบบธนาคารปกติใช้เวลาถึง 2-3 วัน
แต่ระบบบล็อกเชน เช่น บิตคอยน์ ไม่เร็วพอสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน
(ผมขอเรียนให้ท่านนายกเศรษฐาทราบว่า กระบวนการตรวจสอบในบล็อกเชนของบิตคอยน์ในปัจจุบัน ใช้ปริมาณไฟฟ้า “มากกว่า” ประเทศเนเธอร์แลนด์ ทั้งประเทศ
และกำลังไต่ระดับขึ้นไป จะเท่ากับประเทศนอร์เวย์
ถามว่า ท่านได้สั่งให้กระทรวงการคลัง คำนวณปริมาณไฟฟ้าที่ระบบบล็อกเชนนี้จะใช้หรือยัง และผมขอถามว่าใครจะเป็นผู้รับค่าใช้จ่าย)
…………………..
เห็นมั้ย…
การยักเยื้องแจกแบบมี “เจตนาซ่อนเร้น” ผ่านระบบบล็อกเชนนั้น มีต้นทุนต้องจ่าย “ราคาแพง” เหมือนการตั้งรัฐบาลผสม “เทพ-มาร” ที่นายภูมิธรรมพูดนั่นแหละ
แต่อื่นใด ในข้อวิตก-วิจารณ์ทั้งปวง มีอีกข้อหนึ่งที่ไม่พูดถึงกัน และผมขอพูดให้ตระหนักกันไว้ตรงนี้
โลกยุคนี้ “อำนาจ-ทองคำ-เทคโนโลยีไอที” มีค่าที่สุด
แต่สิ่งที่จะทำให้ครองโลกได้ ไม่ใช่อำนาจ, ทองคำ, เทคโนโลยี
หากแต่มันคือ “ข้อมูล”
การที่ “เพื่อไทย” ทำแอปใหม่เอง ก็หมายความว่า “ข้อมูลส่วนบุคคล” ทุกตัวตนคนไทย ๕๖ ล้านคน อยู่ในกำมือ “เพื่อไทย”
การต่อสู้ทุกวันนี้ “แพ้-ชนะ” อยู่ที่ “ข้อมูล” ครับ!
เปลว สีเงิน
๑๘ ตุลาคม ๒๕๖๖