หิวแสงจนได้เรื่อง – ผักกาดหอม

ผักกาดหอม

คงจะได้บทเรียนกันไป

การแสดงท่าทีต่อกรณีความขัดแย้งระหว่างประเทศ เช่นกรณีอิสราเอลกับปาเลสไตน์ มันไม่ง่ายหากเราไม่ได้เป็นชาติมหาอำนาจ

ไม่มีความจำเป็นที่ประเทศเล็กๆ จะต้องไปเลือกข้าง เพราะนอกจากทั้ง ๒ ฝ่ายจะมีความขัดแย้งต่อเนื่องมายาวนานนับพันปีแล้ว

การที่ไทยแสดงความเห็นประณามฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง สนับสนุนฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด จะนำมาซึ่งผลกระทบอย่างที่คาดไม่ถึง

เห็นกันไปแล้วนะครับ การแสดงความเห็นของนายกฯ เศรษฐา เริ่มมีผลกระทบเชิงลบแล้ว อย่างน้อยๆ ก็เกิดขึ้นในประเทศไทยเอง

พรรคประชาชาติ ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาล กลับต้องออกมาเรียกร้องการแสดงท่าทีของรัฐบาล

นั่นหมายความว่า มีความผิดพลาดเกิดขึ้น

วานนี้ (๑๑ ตุลาคม) สส.พรรคประชาชาติตั้งโต๊ะแถลงข่าว เรียกร้องให้รัฐบาลไทยรักษาความเป็นกลางทางการเมืองร่วมกับประชาคมระหว่างประเทศต่อกรณีความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์

เพราะความขัดแย้งนี้มีความซับซ้อนมีรากเหง้าทางประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน และกระทบต่อวิถีชีวิตของชุมชนชาวยิวคริสต์ และมุสลิมทั่วภูมิภาค

แน่นอนครับ สส.พรรคประชาชาติ ส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม หลายคนคงคิดว่า สส.กลุ่มนี้ต้องสนับสนุนกลุ่มฮามาส และเกลียดยิว

เปล่าเลย แต่เป็นการชี้ให้เห็นถึงความขัดแย้งอันยาวนาน จนยากที่จะบอกว่าใครผิดใครถูก สส.พรรคประชาชาติถึงได้เรียกร้องให้รัฐบาลอยู่ตรงกลาง

การอยู่ตรงกลางของความขัดแย้ง มิใช่พวกหลักลอย แต่เป็นตรงกลางที่ดึงคู่ขัดแย้งมาพูดคุยกัน

นี่คือจุดที่รัฐบาลต้องยืน

อย่าไปหิวแสง ถ้าไม่ใช่ชาติมหาอำนาจ หรือกลุ่มชาติที่อยู่บนความขัดแย้ง

งานนี้ไม่ต้องการพระเอก แต่ต้องการคนที่เข้าใจสถานการณ์

อย่าง “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” เขาเรียกว่าหิวแสง

ตัวเองไม่มีหน้าที่ต้องไปจัดการเลย แต่ทำเป็นอวดดีอ้างว่าอยากช่วยแรงงานไทยที่ติดค้างอยู่ในอิสราเอล

ภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่า “เสือก”

เห็น “ด้อมส้ม” เชียร์กันลั่น นี่ไงนายกฯ ในดวงใจ ทำงานฉับไวเร็วกว่ารัฐบาล

พับผ่าสิ! เมื่อไหร่จะเข้าใจเสียที ว่าใครมีหน้าที่ทำอะไร และคนที่ไม่มีหน้าที่ แต่อยากทำหน้าที่ มันจะสร้างความสับสนหรือไม่

“พิธา” ก็กลัดกระดุมไปเรื่อย ไม่สนใจว่ากระดุมมันเขย่งหรือเปล่า

การช่วยรัฐบาลคือช่วยตรวจสอบครับว่า รัฐบาลยังไม่ทำอะไรบ้าง แล้วแนะนำ หรือกระตุ้นให้ทำ

ไม่ใช่ไปเปิดช่องทางให้คนที่ต้องการความช่วยเหลือ แล้วรวบรวมไปส่งรัฐบาล

มันซ้ำซ้อนครับ

แทนที่ผู้ได้รับผลกระทบจะใช้ช่องทางติดต่อกระทรวงต่างประเทศ หรือสถานทูตโดยตรง กลับต้องมาแจ้ง “พิธา” หรือให้ “พิธา” เอาข้อมูลไปให้รัฐบาลอีกที มันใช่วิธีจัดการที่ถูกต้องหรือครับ

ในสถานการณ์วิกฤตการติดต่อสื่อสารต้องชัดเจน และต้องสื่อสารกับผู้รับผิดชอบโดยตรง ไม่ใช่ชิ่งไปชิ่งมา ฉะนั้นในแง่ของการบริหารถือว่า “พิธา” มีปัญหาครับ

ถ้าเจอเหตุการณ์วิกฤตหนักกว่านี้ สื่อสารกันหลายทอด หากเกิดข้อผิดพลาดขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ

สำหรับรัฐบาล ก็ต้องมีความชัดเจนกว่าใคร “นายกฯเศรษฐา” พลาดไปแล้วหนึ่งดอก ก็หวังว่าจะไม่พลาดสำหรับกรณีนี้อีก

ถึงขนาด สำนักจุฬาราชมนตรี ออกแถลงการณ์เตือน ถือว่าท่าทีของรัฐบาลมีปัญหาพอควร เพราะสะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลไม่เข้าใจสถานการณ์เลย

ในแถลงการณ์ของ สำนักจุฬาราชมนตรี เมื่ออ่านรายละเอียดแล้ว ควรจะเป็นท่าทีของรัฐบาลไทยด้วยซ้ำ เพราะเข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้น

“….สำนักจุฬาราชมนตรี ขอแสดงความเสียใจต่อกรณีการเสียชีวิตของชาวไทยที่เกิดขึ้นจากการปะทะกันระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ และขอให้รัฐบาลไทยดำเนินมาตรการในการปกป้องให้ความช่วยเหลือต่อประชาชนชาวไทยที่ถูกจับกุมตัวและบางส่วนที่ยังอยู่ในพื้นที่การปะทะอย่างเร่งด่วน สำนักจุฬาราชมนตรีขอเป็นกำลังใจและหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารัฐบาลไทยจะสามารถช่วยเหลือประชาชนชาวไทยให้พ้นจากภัยอันตรายจากสถานการณ์เฉพาะหน้าที่กำลังเกิดขึ้น

สำนักจุฬาราชมนตรี ขอแสดงความเสียใจต่อความสูญเสียของประชาชนผู้บริสุทธิ์ทั้ง ๒ ฝ่ายจากความรุนแรง และขอเรียกร้องให้คู่ขัดแย้งทั้ง ๒ ฝ่ายยุติความรุนแรงและการสู้รบกัน และมีความจำเป็นที่จะต้องหันหน้าเข้ามาเจรจากันเพื่อคืนความสงบให้กับประชาชนผู้บริสุทธิ์

สำนักจุฬาราชมนตรี ขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทยรักษาความเป็นกลางทางการเมืองร่วมกับประชาคมระหว่างประเทศ ต่อกรณีความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ เพราะความขัดแย้งนี้มีความซับซ้อน มีรากเหง้าทางประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน และกระทบต่อวิถีชีวิตของชุมชนชาวยิว คริสต์และมุสลิมทั่วภูมิภาค

ทั้งนี้ สำนักจุฬาราชมนตรีสนับสนุนการแสดงจุดยืนที่ชัดเจนต่อความจำเป็นในการช่วยเหลือประชาชนชาวไทยที่ได้รับผลกระทบ ให้มีความปลอดภัยและให้ได้รับการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ในสถานการณ์เฉพาะหน้าในครั้งนี้อย่างเร่งด่วนที่สุด…”

ท่าทีรัฐบาลไทยควรเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรก

ไม่ใช่นายกฯ ผีเจาะปาก อยากเอาใจฝ่ายตะวันตกจนลืมไปว่า อิสราเอล เองก็สร้างปัญหาไว้เยอะแยะมากมายเช่นกัน

เรื่องความขัดแย้งตั้งแต่อดีตสืบเนื่องมาถึงปัจจุบัน คงจะไปค้นหาว่าใครถูกใครผิดลำบาก

แต่ที่ต้องทำคือ อยู่กับปัจจุบันและพูดคุยกันเพื่อหาจุดกึ่งกลางที่จะนำไปสู่สันติภาพได้

ซึ่งยากมากครับ!

วันนี้สงครามยังคงมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

การเสียชีวิตของทั้ง ๒ ฝ่าย และพลเรือนของชาติอื่นๆ ยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ตราบใดที่ยังไม่หยุดฆ่า ก็คงฆ่ากันไปมาอย่างนี้

กระทบกันไปหมด

โลกนี้ควรได้รับบทเรียนว่า การใช้ความรุนแรง สิ่งที่ได้รับกลับมาก็คือความรุนแรง

ไม่สำคัญว่าใครใช้ความรุนแรงก่อนหรือหลัง

แต่ที่สำคัญคือ ใครคือผู้หยุดใช้ความรุนแรง ก่อนกัน

Written By
More from pp
รมว.ทส. ตรวจเยี่ยม อุทยานฯ เอราวัณ สั่งกำชับพัฒนาอารยสถาปัตย์แหล่งท่องเที่ยวทั่วประเทศ
1 เมษายน 2565 – นายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช มอบหมายให้...
Read More
0 replies on “หิวแสงจนได้เรื่อง – ผักกาดหอม”