คลิกฟังบทความ..⬇️
เปลว สีเงิน
พูดได้เลย ร้อยละ ๙๙.๙๙
คนที่ขึ้นมาเป็น “บิ๊กกองทัพ” รวมทั้ง “บิ๊กสำนักงานตำรวจแห่งชาติ” กำเนิดจะมาจาก “โรงเรียนเตรียมทหาร”
แล้วแยกเหล่าไปศึกษาต่อ
-ทหารบก ไป “โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า”
-ทหารอากาศ ไป “โรงเรียนนายเรืออากาศ”
-ทหารเรือ ไป “โรงเรียนนายเรือ”
-ตำรวจ ไป “โรงเรียนนายตำรวจ”
แต่ปีนี้ ผบ.ตร.คนที่ ๑๔ “พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล” สร้างเกียรติประวัติใหม่ให้ “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ”
เพราะท่านถือกำเนิดจาก “รัฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์” แล้วสมัครเข้าฝึกอบรม “หลักสูตรผู้มีวุฒิทางด้านนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์”
เพื่อบรรจุแต่งตั้งเป็นข้าราชการตำรวจชั้นสัญญาบัตร (กอต.)รุ่นที่ ๔
เริ่มต้นชีวิตตำรวจ ในปี ๒๕๔๐ ในตำแหน่ง รองสารวัตร กองกำกับการสายตรวจปฏิบัติการพิเศษ 191
ที่ผมปูพื้นมานี้ ด้วยเหตุผลว่า……
เราเรียนรู้ทัศนคติ แนวคิด แนวปฎิบัติ จากคนผ่านเบ้าหลอม “โรงเรียนนายร้อย” มามากต่อมาก
ก็อยากให้ได้เรียนรู้ แนวคิด แนวปฎิบัติ และทัศนคติการบริหารงานตำรวจ จากผบ.ตร.ที่มาจาก “เบ้าหลอมรัฐศาสตร์” บ้าง
ผมอ่านจากที่เขาถอดเทป พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ให้สัมภาษณ์รายการ “หมาแก่-คุณดนัย เอกมหาสวัสดิ์” และ “คุณอมรรัตน์ มหิทธิรุกข์” เมื่อวาน (๒ ตค.๒๒)
“เรียนคน” เรียนได้หลายทาง ทางหนึ่งคือเรียนจาก “วิธีคิด” ของเขา ผมอ่านแล้ว ผบ.ตร.รัฐศาสตร์ ท่านนี้
“น่าทึ่ง” ผิดจากคาดหมายของคนทั่วไป รวมทั้งผม
เพราะนอกจากเรื่องคดีแล้ว ด้าน “แนวคิด-แนวบริหาร” ดูเหมือนท่านไม่เคยขยายวิสัยทัศน์
ก็ลองอ่านกันดูนะ อ่านแล้ว ผมเชื่อ จะให้ความรู้สึกกับเราว่า ผบ.ตร.คนนี้ เป็น “คนเหนือคิด” เอาการ!
เริ่มจากตอนที่พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ พูดในรายการหมาแก่ว่า
“การจัดวาง รอง ผบ.ตร.ควบคุมหน้างานต่างๆ และการแต่งตั้งโยกย้ายให้เป็นระบบคุณธรรม เป็นโจทย์แรกที่เราต้องเร่งทำก่อน
อยากทำ “สำนักงานตำรวจ” ให้เป็นบ้าน เพราะเคยบอกกับน้องๆคำว่า “โฮม” กับ “เฮ้าส์” ๒ อย่าง มันต่างกัน
เวลากลับบ้าน ถ้าเป็นคำว่า “โกแบ็คเฮ้าส์”
“เฮ้าส์” ทำจากอิฐ หิน ปูน เขาเรียกว่าบ้านเหมือนกัน แต่ “โกแบ็คโฮม” เรากลับบ้าน เพราะมีความรัก ความเข้าใจ อยากสร้าง “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” ให้เป็น “โฮม”
ทุกคนต้องช่วยกัน….
ผมคนเดียวทำไม่ได้ ทุกคนต้องช่วยกัน โดยผมจะใช้คำแทนตัวว่า “พี่” ผู้ใต้บังคับบัญชาว่า “น้อง”
โดยต้องเริ่มที่ “ผู้บังคับบัญชา” เป็นตัวอย่างที่ดี นำพาองค์กรไปให้ได้”
เกี่ยวกับความสัมพันธ์โดยเฉพาะกับ ๒ รองผบ.ตร.คือ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ และ พล.ต.อ.รอย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์บอกว่า “ทั้งสองท่านยังคงเป็น รอง ผบ.ตร.อยู่ ผมกำลังทำอยู่ ให้คอยดู จะได้รู้ว่า ไม่มีเหตุอะไรที่จะมากระทบอะไรกันเลย
เป็นความเข้าใจ ความมโนของคน
ตอนนี้ กำลังจัดเพราะว่ามันจะมีผล ถ้าเราไม่เอาผู้ช่วย ผบ.ตร.ขึ้นมา จะมีปัญหา บอร์ดไม่ครบที่จะพิจารณา
ระดับ ผบช.จะทำ ผบช.ให้เสร็จก่อน เพื่อให้ไปเลือกผู้การ ระดับบช.ขึ้นมา
ทุกอย่างมีบอร์ดหมด บอร์ดใหญ่จะมี ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิทุกท่าน เป็นที่ปรึกษา ป้องกันการร้องเรียน
ตอนนี้ เราวางไว้หมดแล้ว เพราะมีเวลาน้อย ปกติเรื่องการแต่งตั้ง จะเสร็จไปหมด
“เรื่องการแบ่งงาน รอง ผบ.ตร.ต้องตามอาวุโส ให้เลือกก่อน ให้คนที่มีอาวุโสเลือกก่อนเลย
ให้ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ อาวุโสอันดับหนึ่งเลือกก่อน ต่อด้วย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์
ทุกคนมีการพูดคุยกัน จริงๆ ไม่อยากให้ภาพมันออกไป พี่น้องคุยกันหมด ไม่ใช่ว่าต้องเอาภาพออกไปทั้งหมด ทุกคนคุยกัน ทำงานเพื่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ผมมีเวลาปีเดียว หายไป ๒ วันแล้ว เหลือเพียง ๓๖๓ วัน พี่น้องประชาชนรอไม่ได้
ตำรวจจะมาทะเลาะกัน ประชาชนเขาไม่รอ ตำรวจ
มดงาน ก็รอความหวังจาก ผบ.ตร. ทุกคนคาดหวังหมด
ผมต้องเร่งทำ ไม่ได้หยุด ขอให้เราได้ทำงานก่อนจะบอกดี-ไม่ดี ขอเวลานิดหนึ่ง”
“ในส่วนผู้ช่วย ผบ.ตร.ที่อาวุโสสูงสุดจะเอาขึ้นมาปฏิบัติหน้าที่ เดี๋ยวจะออกคำสั่ง กำหนดหน้างานให้เลย มันรอไม่ได้
ส่วนผู้ช่วยที่เหลือ ก็จะมาช่วย รอง ผบ.ตร.แต่ละหน้างาน โดยเลือกคนที่จะมาทำงาน มีองค์ความรู้ ทำงานได้”
“หมาแก่” ถามถึงคดีที่เกี่ยวข้องกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ว่า “ยังดำเนินการต่อหรือไม่?”
ผบ.ตร.ตอบว่า….
“ยังต้องทำอยู่ ต้องเข้าใจว่าการที่จะมาออกข่าวอย่างโน้น-อย่างนี้ ทำให้คนมโนองค์กรเสียหาย คดีไปตามพยานหลักฐาน พลิกแพลงไม่ได้
ต้องให้ความเป็นธรรมทั้ง ๒ ฝ่าย การแถลงข่าวตอบโต้ มันไม่ใช่แล้ว คนก็ไปมโนต่างๆนานา พยานหลักฐานคือสิ่งสำคัญที่สุด”
ประเด็น “หน่วยคอนมานโด” พร้อมอาวุธครบมือ เข้าตรวจค้นบ้านพักพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ผบ.ตร.บอกว่า
“การขอกำลังวันนั้น ชุด PCT เป็นแม่งาน อาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์เป็นเรื่องของ ตร. วันนั้น ผมเข้าเวร “ราชองครักษ์” อยู่ ไม่ได้รู้เรื่องเลย
รองฯ สุรเชษฐ์ ก็โทรมา ยังงงอยู่ว่าเรื่องอะไร ผมก็คุยกัน ไม่รู้จริงๆ ผมก็เช็คให้ เราคุยกันหมด เราอยู่กันแบบพี่น้อง”
พล.ต.อ.ต่อศักดิ์กล่าวถึงภาพถ่ายคู่กับพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ว่า
“ผมได้เรียกมาคุยว่า “มันเรื่องอะไร” ผมรับนโยบายจากนายกฯ มา ด้วยอยากเห็นสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่ใช่ภาพผู้บังคับบัญชาทะเลาะกัน แล้วเด็กจะมีกำลังใจอย่างไร เราไม่ได้ทะเลาะกัน แต่คนมอง
จริงๆแล้ว เราไม่ได้ทะเลาะกันด้วยซ้ำ แต่มีคนไม่หวังดีเสี้ยมหรือเปล่า เชื่อว่าทุกอย่างจบลงด้วยการพูดคุย
มันเป็นจังหวะที่คดีต่างๆ พรั่งพรูกันในช่วงนี้ คนจับโน้น-โยงนี้ ภาพคู่แบบนี้ มันสร้างกันไม่ได้ ถ้าคนทะเลาะกันเรียกมา ผมก็ไม่ไป นายกฯไม่ได้สั่งให้ไปดีกัน”
“ในชีวิตผม ผมเคยบอกโจ๊กไว้เสมอว่า……..
“ถ้าขาดจากพี่ไปแล้ว เอ็งหาคนที่จริงใจกับเอ็งแบบพี่ไม่ได้ ผมเป็นคนจริงใจ ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม
กระสุนไม่เคยยิงใครข้างหลัง ถ้าเอา ก็เอากันซึ่งหน้า
ทุกอย่างมันต้องแก้ที่ต้นเหตุ เวลามีอะไรเข้ามาในชีวิตต้องมีสติ ที่ผมไปปฏิบัติธรรม ทำให้ครองสติได้ แก้ปัญหาด้วยปัญญา แต่ถ้าขาดสติ จะแก้ปัญหาด้วยอารมณ์
ที่มีปัญหาทุกวันนี้ เพราะแก้ปัญหาด้วยอารมณ์ ปัญหายิ่งเพิ่มพูน ผมโดนอะไรมาเยอะ แต่ผมนิ่ง เวลาไม่มีปาก ให้เวลาเป็นตัวเล่าดีกว่า”
เห็นมั้ย…..
ฟังแนวคิด ปรัชญาชีวิต และการบริหารจากผบ.ตร.รัฐศาสตร์ มันให้รสชาติแปลกใหม่ “ชวนค้นหา” และ “ท้าทาย” ในเชิง “เปรียบเทียบ” กับผบ.ตร.จากนายร้อยสามพรานที่ชินลิ้น!
แล้วบิ๊กโจ๊ก “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล” มีท่าทียังไง หลังจาก “ระเบิดอารมณ์” แล้วลางานไป ๓ วัน?
เมื่อวาน น่าจะตั้งสติได้แล้ว บิ๊กโจ๊กมาทำงานตามปกติ ตอบนักข่าวที่รุมตอมว่า
“ขณะนี้ รอทางผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมอบหมายงานให้รับผิดชอบอยู่ ผมไม่มีความเครียด”
นักข่าวถาม “จะมีบิ๊กเซอร์ไพรส์วันที่ ๕ ตุลา.นี้หรือไม่?”
คำตอบคือ…. “ผมไม่รู้เรื่อง”
อืมมม….ก็เข้าใจบิ๊กโจ๊กนะ นี่เป็นบทเรียนราคาแพงเพราะการ “ไม่ปฎิบัติธรรม” อย่างบิ๊กต่อ
ปัญหาภายในองค์กร “ไม่ยากแก้” แต่ด้วยอารมณ์นำเรื่องภายในไปให้ “คนภายนอกแก้”
ตรงนี้แหละ จะเป็น “ปัญหาในปัญหา” ของบิ๊กโจ๊ก
อยากให้อ่านที่ “นายอนันต์ชัย ไชยเดช” ทนายความของ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์และตำรวจอีก ๘ นาย ที่ถูกดำเนินคดีฐานพัวพันเว็บไซต์พนันออนไลน์ พูดกับนักข่าวเมื่อวาน ว่า
“คืนวันเสาร์ที่ ๓๐ กันยา.พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ โทรมาหาผม บอก “จะถอยในเรื่องนี้ดีหรือไม่?”
ผมจึงบอกไปว่า “จะถอยได้อย่างไร เพราะยังมีตำรวจอีก ๘ นายที่ถูกกลั่นแกล้งและถูกดำเนินคดีอยู่ จะยอมแพ้อย่างนั้น แบบนี้ไม่ได้”
ทางพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก็บอกว่า
“มีตำรวจชั้นผู้ใหญ่สั่งการลงมา ขอให้หยุด แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นใคร?”
ผมก็ยืนยันว่า “จะขอทำคดีนี้ต่อไป จะมาพักรบระหว่างศึกสงครามไม่ได้ ฝุ่นยังตลบอบอวล ความเป็นความตายเท่ากัน”
ด้วยความอึดอัด ตอนนั้นจึงโพสต์เรื่องยิงธนูลงทางโซเชียลตามที่ปรากฏในข่าว
หลังจากที่ผมโพสต์ไป ได้มีบุคคลปริศนาที่มีความสนิทสนมใกล้ชิดกับวงการตำรวจ โทรมาหาผม พร้อมกับเตือนว่า “ขอให้ระวังตัวไว้”
ซึ่งผมก็ไม่ได้พูดจาตอบโต้อะไรไป แต่เลือกที่จะโพสต์อีกหนึ่งโพสต์ตอบโต้แทน โดยโพสต์นั้นมีใจความประมาณว่า
“งานใคร งานมัน”
ส่วน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์นั้น ผมได้มีโอกาสพูดคุยกันครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ ๓๐ กันยา.
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังสบายดี ไม่ได้มีข้อกังวลอะไร และผมก็ได้กำชับแบบเดิมว่า “อย่าพูดอะไรที่กระทบต่อรูปคดี”
ส่วนเรื่อง “บิ๊กเซอร์ไพรส์” ที่จะเปิดเผยต่อสาธารณชนในวันพฤหัสบดีที่ ๕ ตุลา.นี้
“ผมยืนยันว่า มีอยู่จริง ทำเอกสารทุกอย่างเสร็จหมดแล้ว และมั่นใจว่า หลักฐานชิ้นนี้ ตรงกับสำนวนไทยที่ว่า “เด็ดดอกไม้ดอกเดียว สะเทือนถึงดวงดาว”
เพราะเรื่องนี้ จะกระทบกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติโดยตรง”
กับคำถามนักข่าวที่ถาม “จะเกี่ยวข้องกับการแต่งตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่หรือไม่?” ทนายอนันต์ชัยบอกว่า
“ให้รอดู” และกล่าวต่อ
“บิ๊กเซอร์ไพรส์” ที่ว่านั้น หากผมถูกพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ถอดจากตำแหน่งทนายความ ก็จะไม่มีการเปิดเผยบิ๊กเซอร์ไพรส์ต่อสาธารณชน”
…………………..
ที่ผบ.ตร.ต่อศักดิ์พูดนั้น บิ๊กโจ๊กจะเชื่อ-ไม่เชื่อ ก็สุดแต่ท่าน แต่เรื่องหนึ่ง ผมอยากให้บิ๊กโจ๊ก เชื่อ
“ทุกอย่างต้องแก้ที่ต้นเหตุ เวลามีอะไรเข้ามาในชีวิตต้องมีสติ ที่ผมไปปฏิบัติธรรม ทำให้ครองสติได้ แก้ปัญหาด้วยปัญญา
“…….แต่ถ้าขาดสติ จะแก้ปัญหาด้วยอารมณ์”
เปลว สีเงิน
๓ ตุลาคม ๒๕๖๖