ผักกาดหอม
ชัดเจนครับ….
“ลุงตู่” ประกาศวางมือทางการเมือง
ลาออกจากสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ
แต่แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ยังคงติดตัวอยู่ เพราะกฎหมายไม่ได้กำหนดว่าต้องลาออกอย่างไร กับใคร กกต.ก็ไม่เคยมีความชัดเจนเรื่องนี้
สรุปแล้วที่ประชุมรัฐสภายังสามารถเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีได้อยู่ แต่เมื่อเจ้าตัวแสดงเจตจำนงชัดว่า “วางมือทางการเมือง” ก็ไม่น่าจะมีใครปรารถนาดีเสนอชื่อเป็นนายกฯ อีก
๙ ปีในตำแหน่งผู้นำประเทศ ถือว่ายาวนานพอสมควร มีคนรักก็ย่อมมีคนเกลียด นี่คือสัจธรรมที่หนีไม่พ้น เป็นธรรมดาโลก
การลงจากหลังเสือโดยเสือไม่กัด ก็นับว่ามีคุณความดีมากกว่าการทำกรรมชั่ว
หลังจากนี้ “ลุงตู่” คงนั่งเฝ้าดูความสำเร็จจากรากฐานที่ตัวเองสร้างไว้ ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ที่ได้รับการพัฒนาอย่างขนานใหญ่ จะเรียกได้ว่าเป็นการปฏิวัติโครงสร้างพื้นฐานของประเทศครั้งที่ ๒ ถัดจากครั้งแรกสมัยล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ ก็ว่าได้
โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ย่อมาจาก Eastern Economic Corridor นี่คือภาคต่อ อีสเทิร์นซีบอร์ด จากยุค “ป๋าเปรม”
EEC เป็นการก้าวขึ้นไปอีกระดับ
จาก อีสเทิร์นซีบอร์ด ที่รองรับ อุตสาหกรรมเทคโนโลยีระดับสูงในอดีต เช่น เม็ดพลาสติก ปิโตรเคมี ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ ชิ้นส่วนรถยนต์ เป็นต้น แต่วันนี้โลกเปลี่ยนไปมาก อุตสาหกรรมก็เปลี่ยนรูปแบบไปเยอะเช่นกัน
EEC จึงเกิดมาเพื่อรองรับอุตสาหกรรมขั้นสูงกว่า
เช่น เป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (EV)
อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ
การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพระดับสูง
รวมไปถึง อุตสาหกรรมท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ
วันนี้ยังไม่เห็นดอกผลเท่าไหร่ แต่อีก ๕ ปี ๑๐ ปี ข้างหน้าคนไทยต้องขอบคุณ “ลุงตู่” ที่วางรากฐานอันแน่นหนาไว้ให้
โดยเฉพาะลูกๆ หลานๆ ที่เกลียด “ลุงตู่” ในวันนี้ วันข้างหน้าอาจได้ทำงานใน EEC มีตำแหน่งหน้าที่ใหญ่โต การเงินเฟื่องฟู ชีวิตอุดมสมบูรณ์
ถึงวันนั้นไม่ต้องขอบคุณ “ลุงตู่” แค่ให้ระลึกว่านี่คือสิ่งที่คนรุ่นก่อนสร้างไว้ให้
ครับ…หลังจากได้นายกฯ คนใหม่ คาดว่าในเร็วๆ นี้ “ลุงตู่” จะได้พักผ่อนเสียที หลังจากอยู่ท่ามกลางความเครียดทางการเมืองมา ๙ ปีเต็ม
ปล่อยให้ “ลุงป้อม” ค่อยๆ ลงจากหลังเสือ ซึ่งแน่นอนว่าเป็นแผนที่วางไว้ตั้งแต่แรกว่า ๓ ป.จะลงจากหลังเสืออย่างไร ไม่ให้เสือจับกิน
และ “ลุงป้อม” จะยังคงทำหน้าที่คุยกับเสือไปอีกสักระยะ จนกว่าจะแน่นอนแล้วว่า ปลอดภัย
แต่ในส่วนที่ต้องเครียดกันต่อ คือวันที่ ๑๓ กรกฎาคม นี้
รัฐสภาโหวตนายกฯ จะได้พระเอกลิเกแทน หรือเปล่า
หนักใจแทนสุดๆ เห็นจะเป็น การหารือใน ๘ พรรคการเมือง ว่าที่รัฐบาลใหม่
น้ำท่วมทุ่งผักบุ้งต้นเดียว!
เห็นคำให้สัมภาษณ์ของ “หมอชลน่าน ศรีแก้ว” แล้ว แทบต้องเก็บเสื่อกลับบ้าน
ประเด็นหลักที่ ๗ พรรคอยากรู้คือ มีสมาชิกวุฒิสภา พร้อมสนับสนุน “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” เป็นนายกฯ จำนวนเท่าไหร่
โบ๋เบ๋!
“…มีการสอบถามกัน ซึ่งทางคุณชัยธวัช (ตุลาธน ส.ส.บัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรคก้าวไกล) ตอบในมุมที่อยู่บนพื้นฐานความพยายามที่จะประสานและหาเสียงสนับสนุนให้ได้มากที่สุด แต่ไม่ได้ระบุว่ามีจำนวนเท่าใด…”
“…ไม่ได้รับคำตอบจากคุณชัยธวัช ซึ่งเราได้ถามในที่ประชุมไป คุณชัยธวัชก็บอกว่าพยายาม ส่วนจะครบหรือไม่ครบนั้น คุณชัยธวัชไม่ได้ยืนยันเป็นตัวเลข…”
พยายาม!
คิดว่าเล่นขายของกันอยู่หรืออย่างไรกัน
ก้าวไกล ไม่ต่าง ลูกไก่ในกำมือ เพื่อไทย
บีบก็ตายคามือทันที
แต่ทำแบบนั้นมันดูโหดเกินไป
ท่าทีของแกนนำเพื่อไทยวานนี้ (๑๑ กรกฎาคม) ยังคงไหลไปตามน้ำ เหมือนกระทงวันเพ็ญ เดือน ๑๒
ลอยเอื่อยๆ ไปตามน้ำ
วันเลือกนายกฯ ๑๓ กรกฎาคม “หมอชลน่าน” จะลุกขึ้นเสนอชื่อ “พิธา”
ดูทรงแล้ว ไม่น่าจะมีพรรคไหนเสนอชื่อแข่ง
ดูง่ายเหมือนกินขนม
แต่….เงียบๆ แบบนี้ดูน่ากลัวมากกว่า
หลังเสนอชื่อเสร็จ ส.ส.เพื่อไทยโหวตให้ “พิธา” ครบถ้วน ไม่มีขาด
ถือว่าดันก้น “พิธา” สุดความสามารถแล้ว
ในทันทีที่ วุฒิสมาชิก คว่ำ “พิธา” เพื่อไทยถือว่าต้องนับหนึ่งใหม่แล้ว
“ด้อมส้ม” อย่าได้หวัง จะมีการโหวตชื่อ “พิธา” รอบ ๒
อาจมีข้อบังคับสภาที่พอเทียบเคียงได้คือ หมวด ๒ ของรัฐธรรมนูญว่าด้วย การประชุมรัฐสภา มาตรา ๓๙ บัญญัติว่า
“ญัตติใดตกไปแล้ว ห้ามนำญัตติซึ่งมีหลักการเช่นเดียวกันขึ้นเสนออีกในสมัยประชุมเดียวกัน เว้นแต่ญัตติที่ยังมิได้มีการลงมติ หรือญัตติที่ประธานรัฐสภาจะอนุญาตในเมื่อพิจารณาเห็นว่าเหตุการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไป”
ประเด็นนี้จะถกเถียงกันในที่ประชุมรัฐสภามากเป็นพิเศษ เพราะถือเป็นสาระสำคัญของขั้นตอนการโหวตเลือกนายกฯ
ใช้เวลานานแน่ๆ อาจถึงค่อนวัน!
หากต้องให้ที่ประชุมเสียงข้างมากตัดสิน ก็จะเป็นไปตามแนวทางของวุฒิสภา และขั้วรัฐบาลเดิม รวมทั้งลึกๆของเพื่อไทย คือ โหวต “พิธา” ได้รอบเดียวคือวันที่ ๑๓ กรกฎาคม
ส่วน ๑๙-๒๐ กรกฎาคม เขาตั้งรัฐบาลใหม่กันแล้วครับ
เอาเข้าจริงวันนี้ ๗ พรรค ว่าที่พรรคร่วมรัฐบาล น่าจะรู้ชะตากรรมของเอ็มโอยูที่เซ็นกันไปก่อนหน้าแล้ว ว่า
ต้องฉีก!
เพื่อไทยเองก็จะหลุดจากคลุมถุงชน