คลิกฟังบทความ…?
เปลว สีเงิน
ดีใจด้วยนะ..ทักษิณ!
ที่ได้หลานคนที่ ๗ จากอุ๊งอิ๊ง ชื่อ “ธาษิณ” ขออวยพรให้ “ธาษิณ” อายุมั่นขวัญยืน โตวัน-โตคืน
ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ในอีก ๓๐-๔๐ ปี ข้างหน้า
เพื่อสืบต่อภารกิจ “พาคุณตากลับบ้าน” ที่ค้างคาจาก “คุณแม่อุ๊งอิ๊ง” ให้สำเร็จ!
คุณตาทักษิณ ต้องมีชีวิตอยู่ให้ถึงปี พศ.๒๕๙๐ โดยประมาณให้ได้นะ
เพื่อกลับมาแบบตัวเป็นๆ แบบอัฐิไม่เอา บอกก่อน!
เห็นโพสต์ว่า “จะกลับมาเลี้ยงหลาน และพบกันเร็วๆนี้”
อีกและ…จะหลอกให้หมาในคอกดีใจเก้อไปถึงไหน กี่ครั้ง-กี่หนแล้ว ที่บอกจะกลับบ้าน
เมื่อธันวา.๖๕ บอกกลับแน่ ก็เตรียมทั้งเค้ก ทั้งอาหารเม็ด เสร็จสรรพไว้รอ ก็ไม่กลับ
นี่ก็ “ตดให้หมาดม” อีก อยากกลับก็กลับมาเลย วันนี้-วันพรุ่ง ก็กลับได้ ไม่มีใครห้ามนี่
ถึงปุ๊บ รถกรงราชทัณฑ์เทียบบันไดเครื่องบินรับปั๊บ ไปเข้าคุกอย่างเท่ๆ ซัก ๑๐ ปีรวมกัน จาก ๔ หรือ ๕ คดีได้มั้ง ที่ศาลตัดสินแล้ว
ไม่ต้องรอแลนด์สไลด์หวังเพื่อไทยเป็นรัฐบาล อุ๊งอิ๊งหรือเศรษฐาเป็นนายกฯ หรอก
รายการ “ฝันที่เป็นจริง” เขาเลิกไปตั้ง ๒๐-๓๐ ปีแล้วมั้ง ยังจะเพ้ออยู่อีกหรือ?
คิดๆก็เห็นใจนะ แรกๆ โหนสถาบัน “เผาไป-กราบไป”
เมื่อไม่เป็นผล ต่อมา……
โหนน้องสาวให้นิรโทษกรรมเหมาเข่ง
โหนหมาในคอกให้งับแข้งงับไข่ประยุทธ์
โหนลูกสาวให้ปลุกระดม “พาพ่อกลับบ้าน”
ปรากฏว่า “เหลว” เป็นอุจจาระหลานตาทุกรายการ
อันที่จริง ไม่ต้องโหนใคร ทักษิณกายเป็นไทย อยากกลับ ก็กลับได้ ไม่มีใครห้าม
“ไม่กล้ากลับ” มาเองตะหาก แล้วเที่ยวพูดบิดเบือนให้คนไม่รู้ หลงเข้าใจว่า “ทักษิณถูกขับไล่ ไม่ให้กลับเข้ามาเมืองไทย”
ซึ่งมันไม่ใช่เลย!
จริงๆ แล้ว “ทักษิณหนีคุก-หนีคดี” จากคำพิพากษาศาล อาศัยมีเงินมาก ก็ไปซื้อประเทศโน้น-ประเทศนี้อยู่ เดินเกม “ชักใย-บ่อนทำลาย” บ้านเกิดเมือง-นอนตัวเอง มาตลอด
นี่….เมื่อวานบอก กลับแน่-กลับเร็วๆ นี้
กลับมาเลี้ยงหลานธาษิณ
ถ้าผมเป็นธาษิณ คงต้องร้องภาษาทารก
“ตา..ตา รอให้ตัดสายสะดือก่อนได้มั้ย อย่ารีบโหนหลานตั้งแต่เดี๋ยวนี้เลย เดี๋ยวหลานสะดือจุ่น”!
เอาละ..คุยเรื่องอื่นบ้าง แต่หันไปทางไหนมีแต่เรื่องเลือกตั้งกับเรื่องตื่นโพล ผมเป็นโรค “ตายด้าน” ทางความตื่นเต้นมาหลายปีแล้ว จึงไม่ตื่นกับเขา
คุยเรื่องที่เขาไม่คุยกันดีกว่า คือเรื่องในซูดาน ที่ทหาร ๒ ฝ่ายช่วงชิงอำนาจกัน ขนอาวุธออกมาถล่มใส่กันในกรุงคาร์ทูม
นั่นเรื่องเขา ที่เป็นเรื่องเรา ก็คือ
คนไทยเรานี่ เหมือนข้าวเปลือก งอกไปทั่วโลกจริงๆ!
ปรากฏว่าในซูดาน มีคนไทย โดยเฉพาะไทยมุสลิม ทั้งไปเรียน ไปทำงาน ไปทำธุรกิจและไปอยู่อาศัยที่นั่นหลายร้อยคน
เมื่อเกิดศึกชิงเมืองในซูดาน เราอาจนึกไปถึงการสู้รบ
แต่รัฐบาลไทย ทั้งนายกฯ, กระทรวงต่างประเทศ, กองทัพไทย และกระทรวงแรงงาน กลับนึกถึงความปลอดภัยของ “คนไทย” ในซูดาน
แล้วจะทำไง ไทยกับซูดาน ไม่มีสัมพันธ์ทางการทูตโดยตรง ครั้นจะบุ่มบ่ามเข้าไปเพื่อนำคนไทยกลับมา ก็ทำไม่ได้
แต่นับว่าโชคดีของคนไทย…….
ที่ไทยกับซาอุดีฯ ได้ฟื้นความสัมพันธ์ที่ห่างหายกันไปกว่า ๓๐ ปี กลับคืนมาแนบแน่นดังเดิมแล้ว
โดยการทำงานต่อเนื่องของกระทรวงการต่างประเทศไทย อันมี “นายดอน ปรมัตถ์วินัย” เป็นตัวจักรสำคัญ
จนที่สุด เมื่อปลายเดือนมกรา.๖๕
“นายกฯประยุทธ์” เดินทางเยือนราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย อย่างเป็นทางการ
ตามคำเชิญ “เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมาร” รองนายกฯ และรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมซาอุดีอาระเบีย ขณะนั้น
จากวันนั้นเป็นต้นมา ความสัมพันธ์ “ไทย-ซาอุดีฯ” เจริญก้าวหน้า-แนบแน่นทุกมิติ
ก็ด้วยความช่วยเหลือจากซาอุดีฯ นี่แหละ ไทยจึงสามารถอพยพคนไทยออกจากซูดาน เดินทางข้ามทะเลมาที่ซาอุฯ ได้
และที่สนามบิน”คิง อับดุลาซิซ” เมืองเจดดาห์
เครื่องบิน Airbus A340-500 จำนวน ๑ ลำ และ C-130 จำนวน ๒ ลำ ของ “กองทัพอากาศไทย” รอรับคนไทยอยู่ที่นั่น
รอบแรก Airbus A340-500 นำคนไทย ๗๘ คน บินจากเจดดาห์ เมื่อ ๒๗ เมย.๖๖ มาลงที่ บน.๖ ดอนเมือง ตอนค่ำ
“คุณวาสนา นาน่วม” นักข่าวสายทหาร โพสต์เฟซ ว่า
“เครื่องบิน C-130 ทั้ง ๒ เครื่อง จะยังคงเตรียมความพร้อมอยู่ที่เมืองเจดดาห์ ร่วมกับทางสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงริยาด
จนกว่าคนไทยชุดที่ 2 จะขึ้นเรือจาก Port of Sudan มาที่เมืองเจดดาห์ได้ครบทั้งหมด”
ผมอยากให้อ่านที่ “คุณนันทิวัฒน์ สามารถ” เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
โพสต์เฟซเรื่อง “เบื้องหลังภาพ” ดังนี้
……………………………….
เมื่อวันที่ 29 เม.ย. ตอนค่ำๆ
นักเรียนกลุ่มที่สอง 132 คน (มีคนต่างชาติที่สมรสกับคนไทยติดกับมาด้วย 3 คน เป็นอินโดนีเซีย 1 คน และ จีน 2 คน) ที่อพยพออกมาจากซูดาน
ได้เดินทางกลับมาถึงไทย ด้วยเครื่องบินกองทัพอากาศ รวมจำนวนนักเรียนที่เดินทางกลับบ้านทั้งหมด 210 คน
และทยอยเดินทางกลับไปอยู่กับครอบครัวหมดแล้ว เหลือคนไทยอีก 5 คน ที่จะเดินทางกลับถึงไทยในวันที่ 1 พฤษภาคม เวลา 15.00 น. ด้วยเครื่องบินซี 130 ของกองทัพอากาศ
มีเรื่อง “เบื้องหลังภาพ” ที่อยากเล่าให้คนไทยได้รับทราบเกี่ยวข้องกับชีวิตและความปลอดภัยของนักเรียนไทยในซูดาน ตลอดจนการวางแผนการอพยพที่ดำเนินไปอย่างรวดเร็ว
“กระทรวงการต่างประเทศ” ประเมินสถานการณ์และมีความเห็น “ควรเตรียมการอพยพในโอกาสแรก”
“นายกรัฐมนตรี” ได้สั่งการให้กระทรวงการต่างประเทศประสาน “กองทัพอากาศ” ในการอพยพนักเรียนไทยทันที
ประการแรก ไทยไม่มีสถานเอกอัครราชทูตในซูดาน แต่อาศัย “กงสุลกิตติมศักดิ์” ณ คาร์ทูม ที่เป็นนักธุรกิจชาวซูดาน
ซึ่งมีส่วนอย่างมากในการจัดหารถบัสและอำนวยความสะดวกในการอพยพนักเรียนไทยออกจากซูดาน
สิ่งที่ต้องคำนึงถึงอย่างมากคือ ความปลอดภัยในการอพยพนักเรียน เนื่องจากจนถึงขณะนี้ ก็ยังคงมีการสู้รบในคาร์ทูม ทั้งๆ ที่มีการตกลงหยุดยิง …ฯลฯ…
เส้นทางอพยพก็เป็นเรื่องที่ฝ่ายเราต้องนำมาพิจารณา แต่สุดท้าย เราตัดสินใจใช้เส้นทางมายัง “เมืองท่าซูดาน”
เนื่องจากใกล้ซาอุดีอาระเบีย ที่รัฐมนตรีต่างประเทศได้ติดต่อประสานขอให้ช่วยเหลือในการอพยพนักเรียนไทย
แต่เส้นทางนี้ มีระยะทางถึงเกือบ 900 กิโลเมตร
เพื่อให้มั่นใจว่า การเดินทางจากคาร์ทูม มายังท่าเรือซูดานจะปลอดภัย ไม่ถูกโจมตีหรือถูกจับเป็นตัวประกัน
“นายดอน ปรมัตถวินัย” รัฐมนตรีต่างประเทศ ได้ติดต่อกับมิตรประเทศหนึ่ง ที่มีอิทธิพลกับคู่ขัดแย้งในซูดาน
“เพื่อไม่ให้มีเหตุร้ายในระหว่างการเดินทางมายังเมืองท่าซูดาน”
เนื่องจากในเส้นทางดังกล่าว มีด่านตรวจของทหารทั้งสองฝ่าย ที่ขึ้นมาตรวจบนรถบัสพร้อมอาวุธ
ต้องขอบคุณซาอุดีอาระเบีย มิตรประเทศที่ยินดีให้ความสะดวกในการอพยพ ด้วยเรือรบและเรือพาณิชย์ รวมทั้งเครื่องบินในการรับนักเรียนไทยจากเมืองท่าซูดานมายังเมืองเจดดาห์
และต้องขอบคุณทีมงานกระทรวงการต่างประเทศ เอกอัครราชทูต ณ กรุงไคโร ที่ประสานงานกับกงสุลกิตติมศักดิ์ ณ กรุงคาร์ทูม เอกอัครราชทูต ณ ริยาด และกงสุลใหญ่ ณ เมืองเจดดาห์
ที่ได้ประสานงานกับทางซาอุดีอาระเบียอย่างดียิ่ง ในการอำนวยความสะดวก ในการอพยพนักเรียนไทยกลับประเทศ
รวมทั้งทีมงานของ “กรมการกงสุล” ที่เดินทางไปสมทบและอำนวยความสะดวกในการเตรียมหนังสือเดินทางของนักเรียนไทย
กลับบ้านเรา รักรออยู่.
……………………………….
และเมื่อวาน(๑ พค.๖๖) ผู้ใช้นาม “Darin Karn” โพสต์ว่า คนไทย 5 คนสุดท้ายจากซูดาน เดินทางกลับถึงประเทศไทย วันนี้ (1 พ.ค.) โดยเครื่องบิน C-130 ของกองทัพอากาศ นับเป็นการสิ้นสุดภารกิจการอพยพคนไทยจากซูดานกลับแผ่นดินไทย….!!!
“น.ส.ซัรฟาอ์ อุมา” นศ.แพทย์ ปี ๔ หนึ่งในจำนวนกว่า ๖๐ นักศึกษาไทย ที่กลับมา กล่าวว่า
“ไม่ได้กลับบ้านมาหลายปี ไม่คิดว่าเหตุการณ์นี้จะทำให้ต้องกลับบ้านก่อนกำหนด ตอนที่อยู่ซูดาน มีความรู้สึกกลัว เนื่องจากเหตุการณ์เกิดขึ้นใกล้กับมหาวิทยาลัยและที่พัก แต่เมื่อได้ออกจากเจดดาห์ รัฐบาลไทยก็ดูแลอย่างดี
ทั้งสถานทูต กองทัพฯ และหน่วยงานอื่นๆ ขอบคุณที่ช่วย ขอบคุณมากจริงๆ”
……………………………
กองทัพมีไว้ทำไม และรัฐบาลประยุทธ์ทำให้ประเทศล้มเหลวจริงหรือไม่?
ก็ให้ “แต่ละหัวใจ” ตอบสิ!
เปลว สีเงิน
๒ พฤษภาคม ๒๕๖๖
ขอบคุณภาพจากเพจเฟซบุ๊ก กระทรวงการต่างประเทศ Ministry of Foreign Affairs of the Kingdom of Thailand