สันต์ สะตอแมน
เรื่องภายในบ้านตัวเองแท้ๆ
แต่..ก็ยินดีที่เมื่อคนทำหนัง ฝ่ายหนึ่งเลขาฯ สมาพันธ์ภาพยนตร์แห่งชาติ ไปนั่งถก-นั่งคุยกับฝ่ายตัวแทนสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย ต่อหน้า คุณกรรชัย กำเนิดพลอย ในรายการโหนกระแส..
แล้วตกเย็นการประชุมเพื่อทบทวนกฎ-กติกาใหม่ที่ทำให้เกิดกระแส “แบนสุพรรณหงส์” ได้เป็นที่สรุปแบบแฮปปี้เอ็นดิ้ง
หมายถึงสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์ฯ ยอมถอย ยกเลิกหลักเกณฑ์การประกวดภาพยนตร์รางวัลสุพรรณหงส์ ที่ว่า..
จะต้องเป็นหนังที่เข้าฉายอย่างน้อยใน 5 จังหวัดหลัก กรุงเทพ, เชียงใหม่, ชลบุรี, นครราชสีมา และ นครศรีธรรมราช รวมถึงต้องมีคนดูไม่น้อยกว่า 50,000 คนไปเรียบร้อย!
ส่วนจะ #แบนสุพรรณหงส์ อยู่อีกหรือไม่อย่างไรนั้น ก็คอยตามฟังตามดูกันต่อไป เพราะการจัดงานสุพรรณหงส์ประจำปี 2565 ยังมีเวลาอีกนาน..วันที่ 25 มิ.ย.โน้น!
และตอนนี้ก็ยังไม่ได้เป็นที่สรุปแน่ชัดเลยว่าจะจัดกันที่ไหน สถานที่น่ะมีอยู่เยอะแยะให้เลือก แต่คงติดปัญหาตรง “งบประมาณ” นั่นแหละ!
ได้ข่าว..ปีนี้กระทรวงวัฒนธรรม เจียดงบสนับสนุนให้แค่ 2 ล้านบาท ก็เป็นที่หนักใจอยู่ หากหาสปอนเซอร์ไม่ได้ขึ้นมา เห็นจะต้องจัดกันแบบเรียบง่ายใช้สถานที่เล็กๆ ที่ไหนสักแห่ง..
ซึ่งหากดารา ผู้กำกับฯยังจะแบน-ไม่ไปร่วมงาน บรรยากาศก็คงไม่อึดอัดคับแคบอะไรนัก!
อย่าง “คุณชายอดัม” หม่อมราชวงศ์เฉลิมชาตรี ยุคล ที่โพสต์ก่อนหน้าสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์ฯ จะถอย..
“ปีนี้ขอไม่ไปสุพรรณหงส์นะครับ ปกติมีอะไรเราก็ช่วยกับสมาคมสมาพันธ์มาตลอด
ที่บ้านผมก็ช่วยกับสมาคมสมาพันธ์มาตลอด แต่ตอนนี้ทางบ้านผมก็ขออนุญาตงดเว้นการทำงานหรือช่วยเหลือใดๆ กับทางสมาคมสมาพันธ์ไปก่อน
จนกว่าจะหาวิธีที่จะทำให้มิติของการสร้างอุตสาหกรรมหนังไทยสร้างสรรค์มากกว่านี้
ก่อนหน้านี้ก็ลาออกจากสมาคมผู้กำกับเพราะวิธีการทางความคิดคัดแย้งกันกับท่านอดีตนายกธนิตย์ ตอนนี้ก็คงลากับสมาคมสมาพันธ์ภาพยนตร์เช่นกันครับ
ส่วนตัวก็กำลังคิดๆ อยู่ว่าในอนาคตอาจจะไม่ขอส่งหนังใดๆ เข้าชิงรางวัลใดๆ ในประเทศอีก …….เป็นเรื่องที่คิดมานานครับ
แต่ปัจจุบันยังทำไม่ได้เพราะเราอยากให้น้องๆ เพื่อนๆ พี่น้อง ทีมงานนักแสดงมีขวัญและกำลังใจในการอยู่ในวงการอยู่
แต่ส่วนตัวรู้สึกว่าประเทศไทยไม่ได้สนใจที่จะให้คุณค่าพวกเราคนในวงการจริงๆจังๆ และรางวัลมันเป็นแค่เครื่องมือการตลาดให้กับคนบางคนโดยการตัดสินว่างานของใครดีกว่างานของใครอื่นครับ
หาก Treatment แบบนี้ยังมีในวงการ การมีเทศกาลหนังหรืองานประกวดหนังก็ไม่ได้มีคุณค่าอะไรเป็นพิเศษสำหรับผม
เพราะมันไม่ได้ช่วยให้โลกภาพยนตร์มันดูมีคุณค่ามากไปกว่านิตยสารซุบซิบดาราน่ะครับ..”
ครับ..ก็ไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนใจหรือยังยืนยันอยู่ แต่อ่านแล้วก็อยากกระซิบคุณชายอดัมค่อยๆ สักนิด..
ประเทศไทยของผมไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วย ไม่พอใจกรรมการบริหารสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์ฯ ที่ไม่ให้ความสนใจ ไม่ให้คุณค่า..
ต้องด่าประธาน หรือไล่คณะกรรมการบริหารนู่น!