จุฑา ยุทธหงสา นักวิจัยสินค้าเกษตร
สงครามรัสเซีย-ยูเครนยังไม่มีทีท่าว่าจะยุติ และครบรอบ 1 ปี ไปเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2566 ซึ่งสงครามส่งผลกระทบในวงกว้างทั้งเศรษฐกิจและสังคม โดยเฉพาะความมั่นคงทางอาหาร เนื่องจากทั้ง 2 ประเทศ เป็นผู้ส่งออกธัญพืชและวัตถุดิบอาหารสัตว์รวมกันติดอันดับ 1 ใน 5 ของโลก ทั้งข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ และยังมีผลกระทบต่อต้นทุนการขนส่งด้วย เนื่องจากรัสเซียเป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำมันระดับต้นๆ ของโลก
สงครามยังผลกระทบต่อราคาอาหารที่รับรู้ได้ทั่วโลก เช่น ไข่ไก่ สหรัฐฯแพงจนผู้บริโภคบ่น ซึ่งเป็นผลจากการระบาดของไข้หวัดนกและต้นทุนการเลี้ยงไก่ไข่ที่สูงขึ้น ทั้งวัตถุดิบอาหารสัตว์ ค่าแรงงาน ค่าบริหารจัดการฟาร์ม
ขณะที่ มาเลเซีย ต้องสั่งซื้อไข่ไก่ล็อตใหญ่ที่สุด 50 ล้านฟอง จากอินเดีย เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนในประเทศ เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่ปรับราคาสูงขึ้น กดดันให้ผู้เลี้ยงลดปริมาณการเลี้ยงลง
เช่นเดียวกับผู้เลี้ยงไก่ไข่ไทย ที่ได้รับผลกระทบจากต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์สูงขึ้นเช่นเดียวกัน ราคาที่ขายได้ไม่สอดคล้องกับต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น โดยราคาไข่ไก่คละหน้าฟาร์มที่เหมาะสมควรอยู่ที่ 3.90-4.00 บาทต่อฟอง แต่เกษตรกรผู้เลี้ยงกลับขายได้เพียง 3.20 บาทต่อฟอง
ในภาคการเลี้ยงสัตว์ของไทย โดยเฉพาะ หมู ไก่ ไข่ ซึ่งเป็นอาหารที่คนไทยนิยมบริโภค ล้วนได้รับผลกระทบจากราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ถ้วนหน้า จากข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่เป็นวัตถุดิบสำคัญในสูตรอาหารสัตว์ราคาทะยานสูงสุด จากก่อนสงครามมีราคาไม่เกิน 10 บาทต่อกิโลกรัม ได้ปรับขึ้นไปมากกว่า 13.50 บาทต่อกิโลกรัม
และจนถึงขณะนี้ ราคายังคงยืนสูงที่ 13.40-13.45 บาทต่อกิโลกรัม รวมถึงถั่วเหลือง และข้าวสาลี ที่ราคาขยับขึ้นตามกัน โดยเฉพาะอาหารของหมู ที่มีข้าวโพดเป็นส่วนผสมสูงถึง 60-70% จึงกลายเป็นต้นทุนสำคัญ ผู้เลี้ยงไก่เนื้อและไก่ไข่ ก็อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงปัญหานี้ได้
สมาคมผู้ผลิตปศุสัตว์ต่างๆ ทั้ง หมู ไก่เนื้อ ไก่ไข่ ร้องเป็นเสียงเดียวกันให้รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาวัตถุดิบอาหารสัตว์เป็นการด่วน ทั้งระยะสั้นและระยะยาว ด้วยเป้าหมายในการลดต้นทุนให้เกษตรกรผู้เลี้ยงอยู่ได้
เนื่องจากปัจจุบันมาตรการด้านภาษีและโควต้านำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ของภาครัฐ ยังเป็นอุปสรรคสำคัญในห่วงโซ่การผลิตที่เกษตรกรต้องรับภาระ นอกเหนือจากต้นทุนพลังงานและปัจจัยการผลิตที่เพิ่มในอัตราที่ใกล้เคียงกันเฉลี่ยประมาณ 30%
จากปี 2565 จนถึงปัจจุบัน ผู้เลี้ยงหมูอยู่ในสถานการณ์ลำบาก เพราะนอกจากต้นทุนการเลี้ยงที่สูงขึ้นเป็นประวัติการณ์แล้ว ยังต้องประสบกับปัญหา “หมูเถื่อน” ที่ลักลอบเข้าไทยมาทุกทิศทุกทาง แม้กรมปศุสัตว์จะร่วมมือกับตำรวจ-ทหารจับและทำลายของกลางซากหมูไปมากกว่า 1 ล้านกิโลกรัม ก็ตาม
แต่สมาคมผู้เลี้ยงสุกรยืนยันว่านั่นเป็นเพียงแค่ 5% ของหมูที่ลักลอบทั้งหมด ภาครัฐต้องปราบปรามอย่างจริงจังให้หมดภายในปีนี้ เพื่อให้สถานการณ์การผลิตกลับสู่ภาวะปกติที่ 18 ล้านตัว ในปี 2567 ตามเป้าหมายของกรมปศุสัตว์
ล่าสุด เกษตรกรผู้เลี้ยงหมูทั่วประเทศกำลังประสบปัญหาแบกรับต้นทุนการผลิตสูง ขณะที่ราคาหน้าฟาร์มตกต่ำเหลือเพียงกิโลกรัมละ 78-80 บาท และมีแนวโน้มดิ่งต่ำลงเป็น 70 บาทต่อกิโลกรัม. จากการลักลอบนำเนื้อหมูกล่องจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามา ขณะที่ต้นทุนการผลิตเฉลี่ยทั้งปี 2565 ของสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติอยู่ที่ 94.79 บาทต่อกิโลกรัม
ด้านนายวีระพงษ์ ปัญจวัฒนกุล ที่ปรึกษาสมาคมผู้เลี้ยงไก่เนื้อ ย้ำขณะนี้ผู้เลี้ยงไก่เนื้อกำลังเดือดร้อนอย่างหนัก เนื่องจากต้นทุนการเลี้ยงไก่เนื้อได้ปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์
โดยต้นทุนการเลี้ยงไก่ปีนี้ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 45 บาทต่อกิโลกรัม เทียบกับต้นทุนปี 2565 ที่ 42-43 บาทต่อกิโลกรัม เนื่องจากราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์มีราคาสูงขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้เลี้ยงประสบปัญหาขาดทุนติดต่อกันมา 2 เดือนแล้ว
เห็นได้ชัดว่าผู้เลี้ยงหมู ผู้เลี้ยงไก่ และผู้เลี้ยงไก่ไข่ ต้องการความช่วยเหลือจากภาครัฐเร่งด่วนร่วมกันในเรื่องวัตถุดิบอาหารสัตว์ ขณะที่ผู้เลี้ยงหมูต้องการให้มีการปราบปรามหมูเถื่อนควบคู่กันไปด้วย เพื่อให้ต้นทุนกับราคาที่ขายได้เหมาะสมพอมีกำไรเลี้ยงครอบครัวได้ และผู้บริโภคสามารถเข้าถึงอาหารโปรตีนดังกล่าวได้ในราคาที่สมเหตุผล
ซึ่งภาครัฐต้องเป็นผู้ขับเคลื่อนนโยบายและกำหนดมาตรการช่วยเหลือที่ตรงกับความการของทุกภาคส่วน เพื่อความมั่นคงทางอาหารอย่างยั่งยืนของคนไทย