ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิตได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวว่า เรื่องกัญชาเป็นเรื่องที่มีการถกเถียงกันทั่วโลก แต่แนวโน้มในประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งในสหรัฐอเมริกา แคนนาดา ยุโรป ออสเตรเลีย ฯลฯ ได้ผ่อนคลายมาตรการในเรื่องกัญชาตั้งแต่ทางการแพทย์และนันทนาการมากขึ้นเรื่อยๆ
คุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ คัดค้านกัญชาเสรี จึงจะรณรงค์ให้ไม่เลือกพรรคภูมิใจไทย โดยที่อ้างว่าห่วงเด็กเยาวชน แต่คุณชูวิทย์กลับมีร้านขาย “ช่อดอกกัญชา” เพื่อนันทนาการอยู่ในโรงแรมของตัวเอง ทั้งของลูกชาย และเปิดให้เช่าเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว
ส่วนผม ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ไม่มีร้านกัญชา ไม่มีผลิตภัณฑ์กัญชาของตัวเอง และไม่ได้ปลูกกัญชาแม้แต่ต้นเดียว มีแต่การวิจัย และรณรงค์ให้ประชาชนซึ่งส่วนใหญ่เข้าไม่ถึงกัญชาทางการแพทย์ (เพราะแพทย์ส่วนใหญ่ไม่จ่ายกัญชา)สามารถมีกัญชาเพื่อการพึ่งพาตัวเองได้ แต่ให้มีกฎหมายควบคุมในระดับเหล้าและบุหรี่ (รวมถึงการควบคุมเรื่องเด็กและเยาวชน) และไม่ต้องกลับไปเป็นยาเสพติดอีก
ผมเดินต่อสู้เรื่องกัญชา ตั้งแต่ปี 2561 ในเรื่องการเรียกร้องสิทธิบัตรกัญชาต่างชาติที่มาจดทะเบียนในประเทศไทย แต่คนไทยกลับห้ามใช้เพราะอ้างว่าเป็นยาเสพติด จนกฎหมายเริ่มคลายล็อกเรื่องกัญชามาเป็นลำดับ
ผมได้มีส่วนเรียกร้องในเรื่องน้ำมันกัญชาให้กับแพทย์พื้นบ้าน ทวงคืนตำรับยาไทยที่เข้ากัญชาซึ่งห้ามใช้มาหลายสิบปี จนกระทั่งได้ต่อสู้ด้วยหลักฐานงานวิจัยในเวทีต่างๆ และมีส่วนที่ทำให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ซึ่งมี นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี) มีมติให้ต้นกัญชาไม่เป็นยาเสพติดอีก ยกเว้นสารสกัดกัญชาที่มีสาร THC เกินกว่าร้อยละ 0.2 ของน้ำหนัก
ผมได้ถูกเชิญไปเป็นกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง ของสภาผู้แทนราษฎรซึ่งมีตัวแทนพรรคการเมืองต่างๆ ได้มีโอกาสแลกทัศนะความเห็นแตกต่าง จนคณะกรรมาธิการฯเสียงข้างมาก (จากแทบทุกพรรคการเมือง) มีทิศทางในการควบคุมช่อดอกกัญชาในระดับที่เข้มกว่าเหล้าและบุหรี่แต่ไม่ถึงขั้นเป็นยาเสพติด
เนื่องด้วยกัญชาเสพติดยากกว่า และมีประโยชน์กว่าเหล้าและบุหรี่อย่างมหาศาล และข้อสำคัญที่สุดประชาชนส่วนใหญ่เข้าไม่ถึงกัญชาทางการแพทย์ด้วยเพราะอคติ ข้อบ่งใช้ที่คับแคบ ความยุ่งยากในการจ่ายยา และผลประโยชน์ทับซ้อนของแพทย์ ฯลฯ
ผมได้ทำความเข้าใจและชี้แจงถกเถียงเรื่องกัญชาตามวาระอันสมควรในสภาผู้แทนราษฎร จนสภาผู้แทนราษฎรเสียงข้างมากเห็นด้วยกับร่างกฎหมายของคณะกรรมาธิการฯเสียงข้างมากทุกมาตรามาเป็นลำดับ แต่ที่น่าเสียดายคือการพิจารณากฎหมายฉบับดังกล่าวนี้ไม่แล้วเสร็จในสภาผู้แทนราษฎรสมัยนี้
ผมได้เห็นนักการเมืองที่พยายามผลักดันให้มีกฎหมายกัญชา กัญชง ในการใช้ประโยชน์และควบคุมอย่างเป็นระบบ ไม่ว่าจะเห็นด้วย แก้ไข หรือไม่เห็นด้วย พวกผมที่อยู่ในคณะกรรมาธิการเสียงข้างมากก็จะยอมรับเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร เพราะเป็นกลไกตามครรลองของฝ่ายนิติบัญญัติ
ดังนั้นผมขอขอบคุณพรรคการเมืองที่ให้ความสำคัญในการเป็นองค์ประชุมสภาผู้แทนราษฎรอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ พรรคภูมิใจไทย, พรรคก้าวไกล, พรรคพลังท้องถิ่นไทย, พรรคชาติพัฒนากล้า, พรรคพลังธรรมใหม่, พรรคครูไทยเพื่อประชาชน
เพราะถ้าเสียงข้างมากไม่เห็นด้วยก็ต้องลงมติให้แก้ไข เพื่อให้มีกฎหมายออกมาเพื่อใช้ประโยชน์และควบคุมอย่างเป็นระบบ แต่นักการเมืองจำนวนไม่น้อยของพรรคการเมืองขนาดใหญ่ที่ผมไม่ได้กล่าวถึงข้างต้น กลับใช้วิธีเตะถ่วงกฎหมาย และไม่เข้าเป็นองค์ประชุมทำให้สภาล่มครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อไม่ให้มีกฎหมายใช้ประโยชน์และควบคุมกัญชาอย่างเป็นระบบ
อย่างไรก็ตามในขณะที่กฎหมายล่าช้าถูกเตะถ่วง จนสภาผู้แทนราษฎรกำลังจะหมดวาระลงในอีกไม่นานนี้ กระทรวงสาธารณสุข ได้อาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2542 ประกาศให้ช่อดอกกัญชา เป็นสมุนไพรควบคุม
คุณชูวิทย์ มีความเชื่อว่า “กฎกระทรวง” ในเรื่องกัญชา นั้นมีความ “คลุมเครือ” ไม่สามารถบังคับใช้ได้ และไม่ควรโยนภาระให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ เพียงเพราะคุณชูวิทย์มีอคติต้องการโจมตีพรรคภูมิใจไทยเป็นเป้าหมายจริงหรือไม่?
แต่ในความจริงกฎหมายที่ใช้ควบคุมกัญชาในขณะนี้ “ไม่ใช่กฎกระทรวง” แต่ “เป็นประกาศกระทรวงสาธารณสุข” ที่อาศัยอำนาจตามกฎหมายในระดับพระราชบัญญัติทั้งสิ้น และมีบทลงโทษตามกฎหมายที่ชัดเจน
สิ่งที่พิสูจน์ได้ว่า กฎหมายไม่ได้คลุมเครือและสามารถบังคับใช้ได้จริงก็คือ ข้าราชการในกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข ได้เดินทางตรวจร้านขายกัญชาในกรุงเทพมหานครตั้งแต่ 9 ธันวาคม 2565 – 7 กุมภาพันธ์ 2566 มีผู้ถูกดำเนินคดีในโทษทุกสถาน 16 ราย ตั้งแต่ ริบของกลาง ปรับ พักใบอนุญาต และจนถึงโทษจำคุก 2 เดือน, และในต่างจังหวัดก็มีผู้ถูกดำเนินคดีในโทษทุกสถานอีก 15 ราย ซึ่งเป็นการดำเนินการก่อนที่จะเข้าตรวจร้านขายกัญชาที่โรงแรมของคุณชูวิทย์เสียอีก
ผมเห็นข้อมูลที่คุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ได้พูดผ่านสื่อฝ่ายเดียวในเรื่องกัญชา มีความผิดพลาด คลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริงไปอย่างมาก แต่ถึงกระนั้นผมก็เห็นว่าเป็นเรื่องที่ดีที่สังคมควรจะได้ตื่นรู้ ถอดบทเรียน และมีข้อสรุปในเรื่องกัญชาร่วมกัน เพื่อทำความจริงให้ปรากฏ
เพื่อประโยชน์ทางสาธารณะในการเรียนรู้เรื่องกัญชา ผมจึงขอเชิญคุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ มาดีเบตกับผม ในเวลาเท่าๆ กันของแต่ละฝ่ายในที่สาธารณะจนกว่าจะสิ้นกระแสสงสัย เพื่อการเรียนรู้ของสังคมว่าประเทศไทยควรจะได้รับทราบความจริงในเรื่องกัญชาร่วมกัน
หวังเป็นอย่างยิ่งว่าคุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์จะตอบรับคำเชิญนี้
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
8 มีนาคม 2566