27 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 08.30 น. ดร.มัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ อดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธานมูลนิธิมัลลิกาเพื่อประชาชน ://www.mallikafoundation.net/ เปิดเผยว่าผู้นำพรรคการเมืองปัจจุบันอาจจะชิงการประกาศนโยบายแจกแบบประชานิยมเกทับบรัฟแหลกกันแต่ไม่ใช่ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เพราะพรรคประชาธิปัตย์ยึดแนวปฎิบัติแบบ “ทำได้ไวทำได้จริง” โดยจะไม่โฆษณาชวนเชื่อ “ลวงอารมณ์ประชาชน”
ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นว่าไปหลอกประชาชนไม่ต่างจากแกงค์คอลเซนเตอร์ก็ถ้าเลือกผิดเท่ากับประชาชนเสียโอกาสที่เป็นทั้งรายได้ เป็นคุณภาพชีวิตที่ดี และความยั่งยืนในชีวิตและครอบครัวเป็นเวลาอีกยาวนานเลย
ดร.มัลลิกา ระบุว่า หนทางพิสูจน์ม้ากาลเวลานั้นพิสูจน์คนดังนั้นบทพิสูจน์ว่าใครใส่ใจดูแลคนยากจนได้ดีนั้น ยากยกตัวอย่างนโยบายในรอบเกือบ 4 ปีที่ผ่านมา การดูแลพี่น้องอาชีพซาเล้งรับซื้อของเก่าของนายจุรินทร์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
นายจุรินทร์โอบอุ้มประชากรฐานรากที่สุดกลุ่มหนึ่งของสังคมขึ้นมาด้วยการรับฟังพร้อมนำคนยากจนเข้ากระทรวงมานั่งบอกเล่าปัญหาของเขาที่หัวโต๊ะการประชุมแก้ไขปัญหาราคารับซื้อกระดาษราคารับซื้อของเก่าตกต่ำไม่เป็นธรรม
“นายจุรินทร์สร้างความเท่าเทียมเป็นธรรมให้เขาด้วยจิตสำนึกผู้นำที่เปี่ยมด้วยความเมตตาเป็นดังพ่อพระของชาวซาเล้ง ใช้นโยบายเจรจาร่วม 3 ฝ่ายของวงจรอุตสาหกรรมกระดาษ คือ
1.โรงงานอุตสาหกรรมผลิตกล่องกระดาษ
2.ร้านรับซื้อของเก่า
3.พี่น้องอาชีพซาเล้งรับซื้อของเก่า
จากนั้นใช้กฏหมายติดป้ายราคารัยซื้อให้ทุกร้านรับซื้อของเก่าติดป้ายราคารับซื้อรายวันให้ราคาขึ้นลงตามกลไกตลาดแต่ต้องไม่ต่ำกว่า 2 บาท พร้อมให้จดทะเบียนขึ้นทะเบียนอาชีพรับซื้อของเก่าและมีสมาคมดูแลกัน พร้อมบริหารการนำเข้ากระดาษต้องคำนึงเศษกระดาษในประเทศก่อน
แนวนี้ถือปฎิบัติมาตั้งแต่ระยะต้นที่เข้ามาทำงานในรัฐบาลนี้จนขณะนี้ขึ้นทะเบียนได้ 1.5 ล้านครัวเรือน ได้เกิดปรากฎการที่ไม่เคยมีผู้นำใดคิดและทำคือการยกระดับคุณภาพชีวิตประชากรฐานรากขึ้นมา ยกระดับราคาการรับซื้อเศษกระดาษจากกิโลละ 50 สตางค์หรือ 1 บาทกว่า จนราคารับซื้อทะลุขึ้นเป็น 4-5 บาทมาเรื่อยๆมาและตอนนี้ปี 2566 บางจังหวัดราคาที่พี่น้องซาเล้งไปขายหน้าร้านรับซื้อของเก่าทะลุ 9 บาท ตามกลไกตลาด
นี่คือผู้นำที่สังคมพึ่งหวังได้ ผู้นำอย่างนายจุรินทร์เป็นคนที่ใส่ใจกับลงมือทำและทำจนกว่าจะสำเร็จไม่มีย่อท้อหรือทิ้งร้างเรื่องใดๆ ขนาดเรื่องประชาชนระดับฐานรากอาชีพซาเล้งที่ปากเสียงไม่ดังพอเขายังช่วยขนาดนี้แล้วเรื่องของประชาชาชนคนทุกกลุ่มอาชีพเขาจะทำได้ขนาดไหน
ถ้ามีโอกาสเป็นนายกรัฐมนตรี คนแบบนี้คือคนสมควรเป็นผู้นำคนเพราะผู้นำไม่เพียงเป็นคนแข็งแกร่งแต่ผู้นำต้องมีอุดมการณ์ที่แข็งแรงและมีเมตตาธรรมอยู่ในชีวิตจิตใจเป็นสำคัญ ยิ่งยุคสังคมไทยเราเป็นแบบนี้เรายิ่งต้องการผู้นำที่จิตสำนึกดีมีคุณธรรมสูง นายจุรินทร์จึงควรเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป ” ดร.มัลลิกา กล่าว
