ผักกาดหอม
ใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ
นักการเมืองที่พูดความจริง ประเมินสถานการณ์ที่เป็นจริง
ไม่ใช่พูดให้ดูดีเพื่อเอาใจนาย
“สกลธี ภัททิยกุล” นักการเมืองรุ่นใหม่ไฟแดง บางคนบอกว่าตอนนี้อยู่ผิดพรรค
ยืนผิดที่ผิดทาง!
เพราะกลับพลังประชารัฐ อยู่กับ “ลุงป้อม” แทนที่จะไป รวมไทยสร้างชาติ ช่วยงาน “ลุงตู่”
“สกลธี” เป็นศิษย์เก่าประชาธิปัตย์ สาย “กปปส.” ที่ส่วนใหญ่ย้ายไป ทำงานการเมืองกับ พรรครวมไทยสร้างชาติ แต่ “สกลธี” ไม่ไปด้วย
ก็ด้วยเหตุส่วนตามแบบฉบับลูกนายพล กับสายสัมพันธุ์ตั้งแต่รุ่นพ่อกับ ๓ ป. การตัดสินใจจึงไม่อิงกับใคร
วานนี้ (๕ กุมพาพันธ์) “สกลธี” พูดถึงสนามเลือกตั้งส.ส.ในกทม. เที่ยวนี้ว่า เหนื่อยแน่ เพราะพรรคการเมืองที่ถูกมองว่าอยู่ในสายเดียวกัน ต่างก็ส่งคนลงสมัครรับเลือกตั้งส.ส.เขตกทม.กันเกือบทั้งหมด
พรรคฝ่ายขั้วรัฐบาล ที่มีทั้งพลังประชารัฐ ประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทย รวมถึง รวมไทยสร้างชาติ จะเบียดกันหัวร้างข้างแตก
“…ก็คงเหนื่อยแน่นอน คือกรุงเทพมหานคร หากมองย้อนกลับไปดูการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ที่ผ่านมา ตั้งแต่ยุคคุณอภิรักษ์ โกษะโยธิน มาถึงม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร หากแบ่งคะแนนเป็น อย่างฝ่ายอนุรักษ์นิยมกับฝ่ายซ้ายแล้วกัน ก็จะพบว่าเดิมที ฝ่ายอนุรักษ์นิยม ก็จะมีเปอร์เซนต์ที่มากกว่าอยู่จำนวนหนึ่ง
และก่อนหน้านี้มีแค่สองฝั่ง ก็จะไม่ยากสำหรับคนที่จะลงคะแนนเลือก คือไม่ซ้ายก็ขวา
แต่ปัจจุบัน คะแนนดังกล่าวเหมือนจะกลับกัน กลายเป็นคะแนนฝ่ายซ้ายใหม่ มากกว่าอนุรักษ์นิยมแล้ว และเมื่อพรรคการเมืองที่อยู่ในฝ่ายอนุรักษ์นิยมมีมากกว่า ทำให้การตัด-แบ่งคะแนนกันเองจึงเยอะกว่า ก็เป็นการยากมากขึ้นของแต่ละพรรคการเมือง…”
คำพูดดูจริงใจ เพราะเนื้อหาค่อนข้างจะจริง
ผิดกับบริวาร “ลุงป้อม” หลายๆ คน พูดร้อยคูณล้านเอาใจนาย นำไปสู่การวิเคราะห์สถานการณ์ผิดอยู่บ่อยๆ
สนามเลือกตั้งกทม. จากการเลือกตั้งผู้ว่ากทม. เมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๖๕ เป็นไปตามที่ “สกลธี” พูดไว้จริง
ซ้ายใหม่
ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ได้ไป ๑,๓๘๖,๒๑๕ คะแนน
วิโรจน์ ลักขณาอดิศร จากก้าวไกล ๒๕๓,๙๓๘ คะแนน
ฝ่ายอนุรักษ์นิยม
สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ จากประชาธิปัตย์ ๒๕๔,๗๒๓ คะแนน
สกลธี ภัททิยกุล ๒๓๐,๕๓๔ คะแนน
อัศวิน ขวัญเมือง ๒๑๔,๘๒๕ คะแนน
ฉะนั้นไม่ง่ายที่ ฝ่ายอนุรักษ์นิยม จะชนะการเลือกตั้งในเมืองหลวง
เพราะนอกจากตัดคะแนนกันเองแล้ว ความเป็นพรรคร่วมรัฐบาลยังเสียเปรียบในแง่ การบริหารราชหารแผ่นดินในยุคภาวะเศรษฐกิจฝืดเคือง
ซึ่งแน่นอนว่าคนเป็นรัฐบาลต้องรับผิดชอบ ไม่สามารถโยนไปให้ผู้อื่นรับผิดชอบแทนได้
ผิดกับฝ่ายค้าน วิจารณ์อย่างเดียว วิจารณ์เก่ง ลีลาเยอะ ก็สามารถเรียกคะแนนเสียงได้มากกว่า ผู้คนคล้อยตามได้ง่ายกว่า
“สกลธี” ยังพูดถึงอีกกลุ่มคะแนน นั่นคือกลุ่มที่เป็นกลางพร้อมจะสวิงไปมา
“…หากมีผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง ร้อยเปอร์เซนต์ ประมาณสักข้างละสามสิบเปอร์เซนต์ มันจะสวิงยากแล้ว คือสามสิบเปอร์เซนต์ของแต่ละฝั่ง จะเป็นฝั่งที่ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ก็จะเลือกจากฝั่งเดิมของตัวเอง ก็จะมีประมาณสี่สิบเปอร์เซนต์ที่อยู่ตรงกลาง ที่อาจจะสวิงได้
ที่จะชี้ขาดกัน ก็คือกลุ่มสี่สิบเปอร์เซนต์ตรงกลาง
ก็จะเหมือนกับตอนเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. ที่ผ่านมา ที่คะแนนของพรรคพลังประชารัฐ ประชาธิปัตย์ หายไป แล้วไปโผล่ที่คุณชัชชาติทั้งที่ในทางปฏิบัติ
เราก็รู้ว่าผู้ว่าฯชัชชาติ อยู่ทางไหน มีแนวอย่างไร
ก็คือกลุ่มตรงนี้สี่สิบเปอร์เซนต์ที่พร้อมจะสวิงได้
สวิงข้ามไปข้ามมา ขึ้นอยู่กับสถานการณ์นั้นๆ
โดยสี่สิบเปอร์เซ็นต์ดังกล่าว น่าจะเป็นกลุ่มคนชั้นกลาง ที่อาจจะเบื่อง่ายหน่อย
เพราะคนกรุงเทพฯ บางทีวันนี้รัก พรุ่งนี้อาจจะหน่าย ที่เห็นได้จากการเลือกตั้งหลายครั้งที่ผ่านมา ก็มักจะเป็นแบบนั้น…”
นี่ไม่ได้ต่อว่าคนกรุงเทพฯ แต่ที่ผ่านมามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ
คนกรุงเทพฯรักง่ายหน่ายเร็ว
ด้วยลักษณะของคนกรุงเทพฯ นี่เอง อาจเกิดปรากฎการณ์ฉีกปากกาเซียน
การเลือกตั้งผู้ว่ากทม. เสียงที่เทให้ “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” นอกจากแฟนพันธ์แท้จากเพื่อไทย คนรุ่นใหม่ แล้ว ยังมีชนชั้นกลาง ที่อยู่กลางๆ รวมทั้งฝั่งอนุรักษ์นิยม ซึ่งเบื่อหน่ายกับความขัดแย้ง
เมื่อ “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” ประกาศความเป็นกลาง เป็นผู้สมัครอิสระ ไม่อิงกับพรรคการเมืองใด
ปรากฎการณ์แลนด์สไลด์จึงเกิดขึ้น
แต่…คนกรุงเทพฯ สามารถรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงได้เร็ว ฉะนั้นไม่มีอะไรการันตีได้เลยว่า การเลือกตั้งครั้งถัดๆไปผลจะเหมือนเดิม
แล้วการเลือกตั้งส.ส.กทม.ครั้งนี้จะแลนด์สไลด์ซ้ำรอยเลือกตั้งผู้ว่ากทม.หรือไม่
“สกลธี” อธิบายว่า
“…หากดูจากตอนนี้ การที่จะมีพรรคการเมืองใด ชนะแบบแลนด์สไลด์เลย จนตั้งรัฐบาลได้พรรคเดียว น่าจะเกิดขึ้นยากมาก
เพราะตอนนี้มีการแบ่ง ซึ่งไม่ใช่แค่กับฝั่งอนุรักษ์นิยมเท่านั้นที่แบ่ง แต่ฝั่งซ้ายก็แบ่งเช่นเดียวกัน และแบ่งหนักด้วย
เพราะฉะนั้นจะเป็นเหมือนเดิมแบบที่สองขั้วแล้วแลนด์สไลด์เลย น่าจะเกิดขึ้นได้ยากมาก…”
ถูกครับ แต่ยังไม่หมด
มีอีกเงื่อนไข ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญเกือบจะที่สุด
นั่นคือ ผู้ว่าฯกทม.
การทำงานของ “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” จะมีผลต่อการเลือกตั้งส.ส.กทม.อย่างมาก
เข้าเดือนที่ ๙ แล้ว เหมือนไม่ตรงปก
ไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน
ขนาดคนของพรรคเพื่อไทยยังบ่น
“จิรายุ ห่วงทรัพย์” ส.ส.คลองสามวา ซัดไปเต็มๆ
“…ประชาชนให้ความคาดหวังกับผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แต่ขอบอกทีมงานรอบตัวท่านบางคนอยู่มาจะ ๙ เดือน ลายเริ่มออก พุงเริ่มกาง…”
เมื่อ “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” ไม่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ จะส่งผลให้คะแนนเสียงสวิงกลับ
คนชั้นกลาง กลุ่มอนุรักษ์นิยม จะไม่ลงคะแนนให้พรรคฝ่ายซ้ายใหม่
บวกกับการต่อสู้เรื่องยกเลิกม.๑๑๒ ยิ่งมากเท่าไหร่การสวิงกลับก็ยิ่งมากเป็นเงาตามตัว
“ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” จึงเป็นผู้กุมชะตา พรรคเพื่อไทย และก้าวไกล
อย่าฝันแลนด์สไลด์ในกทม