สันต์ สะตอแมน
แบบนี้ก็ได้เหรอ?
เนี่ย..มีคนเขาตั้งคำถามเอากับกกต. หลังข่าว-ภาพ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ถูกตัดสิทธิ์ห้ามยุ่งเกี่ยวการเมือง 10 ปี ไปช่วยหาเสียงให้ผู้สมัครพรรคก้าวไกล ที่จ.พิษณุโลก เมื่อวันก่อน
ลำพังคนอื่นตั้งข้อสงสัยน่ะพอทำเนา หวั่นแต่คุณศรีสุวรรณ จรรยา ก็ดี คุณสนธิญา สวัสดี ก็ดี คุณเรืองไกร ลีกิจวัฒนะก็ดี เกิดตั้งคำถามขึ้นมาด้วยล่ะก็..
คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคเห็นจะนอนไม่หลับเป็นแน่!
และนั่น จะนอนหลับ-ไม่หลับไม่รู้ ผมหมายถึงองค์กรคนทำหนังไทยอย่าง “สมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ” เพราะหลังจากเกิดประเด็นดราม่าหนัง “วัยอลวน5” ของคุณไพโรจน์ สังวริบุตร
นอกจากจะได้มีข้อเสนอความคิดเห็นกันหลากหลายแล้ว ยังมีเสียงถามไปถึงสมาพันธ์สมาคมฯด้วยว่า ไม่รู้ร้อน-รู้หนาวกับเรื่องนี้เลยรึ?
อย่างคุณบุญส่ง นาคภู่ ผู้กำกับภาพยนตร์อินดี้ ทั้งถาม ทั้งเสนอทางแก้ไขปัญหา ล่าสุดเขาได้โพสต์(อีกแล้ว)..
“ถ้าหนังไทยมีพื้นที่ฉายเท่าเทียม! คนที่มองว่า ถ้าทำหนังดีพอ ก็จะมีคนดู มีโรงฉาย อยากให้มาอ่านสักนิด
ตอนหนัง “มหาลัยวัวชน” ผมฉายที่ภาคใต้ คนยังเต็มโรง แต่พอดีเป็นเวลาที่ Fast 8 ต้องเข้า โรงเลยลดรอบหนังผมเหลือรอบเดียวตอนดึก และเทโรงให้กับ Fast 8 หมด
อีกไม่กี่วันต่อมา ก็เพิ่มรอบหนังผม ตอนเช้า ก่อนคนจะตื่นอีกรอบ
ก่อนอื่น ต้องแยกก่อนว่า ตัวหนังกับโรงฉาย มันคนละเรื่องกัน เพราะถ้าแยกไม่ออก ก็จะคุยกันไม่รู้เรื่อง
ตัวหนัง จะดีหรือไม่ดี มันก็คือผลผลิตที่บริษัทและคนทำรักและทุ่มเท แม้มันไม่ดีในสายตาเรา แต่คนทำเขาก็มองว่ามันดีในแบบของเขา
ส่วนโรงหนัง คือ พื้นที่สำหรับฉายหนัง เป็นตัวละครสำคัญในระบบของอุตสาหกรรมหนัง ที่ต้องมีส่วนรับผิดชอบในการดูแลหนัง
ไม่ใช่จะเอาตัวรอดอย่างเดียว เพราะถ้าไม่มีหนัง โรงคุณก็ร้าง
และแน่นอน หนังทุกเรื่อง ไม่ว่าจะหนังประเทศไหน หรือดีไม่ดีอย่างไร เขาก็ควรจะมีสิทธิ์และมีพื้นที่ฉายอย่างเท่าเทียม กับหนังเรื่องอื่นๆ
อย่างน้อย เขาก็ต้องมีโอกาสพิสูจน์ตัวเองสักระยะหนึ่ง อย่างน้อย 1 หรือ 2 สัปดาห์ ในช่วงเวลานั้น คนทำหนังหรือบริษัทเขาจะโปรโมท หรือทำกิจกรรมอะไรอย่างไรก็ทำเต็มที่
และถ้ามันไม่รอด มันก็ควรจะไม่รอดเพราะตัวมันเอง ไม่ใช่ถูกบังคับให้ไม่รอด
ในทางจรรยาบรรณ โรงหนังตั้งอยู่ในประเทศใด ก็ควรต้องสนับสนุนหนังในประเทศนั้นก่อนหนังประเทศอื่น เพราะมันเหมือนหนังของลูกหลานในครอบครัว
สรุปคือ โรงหนังในประเทศไทย ก็ต้องสนับสนุนหนังไทย
แค่ให้พื้นที่ฉายอย่างชัดเจนกับหนังไทย สัก 1-2 สัปดาห์ (หรือ 10 วัน) โดยไม่ลดรอบ ไม่โยกย้ายโปรแกรม แต่จะฉายกี่โรง ต้องคุยกับเจ้าของหนัง เขาจะรู้เองว่า หนังเขาควรจะฉายกี่โรง
ผมไม่ได้เรียกร้องอะไรมากไปกว่านี้ และฟังดูก็ไม่น่าจะเหนือบ่ากว่าแรงอะไร
ความสำคัญของการมีพื้นที่ฉายที่ชัดเจนแน่นอน คือ จะมีคนทำหนังเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว และถ้ามีคนทำหนังเพิ่มขึ้น หนังก็จะหลากหลายขึ้นอย่างอัตโนมัติ
เมื่อหนังหลากหลายขึ้น คนดูก็มีทางเลือกมากขึ้น กลุ่มคนดูใหม่ๆ ก็จะเกิดขึ้น พอนึกออกไหมครับว่า อุตสาหกรรมหนังไทยจะคึกคักยั่งยืนขนาดไหน?
ถ้าตกลงกันไม่ได้ว่า จะให้พื้นที่หนังไทยกี่วันดี ก็หันหน้าคุยกันสิครับ เอาข้อดีข้อเสียมาแบกัน แต่ห้ามผิดประเด็นนะ แล้วก็กำหนดเป็นกฏกติกาเป็นพ.ร.บ. มีบทลงโทษอะไรก็ว่ากันไป
ขอบคุณครับที่รับฟังและคิดตาม หวังว่า คงจะไม่หลงประเด็นกันไปไกลกว่านี้นะครับ”
ครับ..ถ้าเป็นยุค “เสี่ยเจียง” เรืองอำนาจ มีหวัง..
โต๊ะพังไปหลายตัว!