เปลว สีเงิน
พรุ่งนี้……
“๒๘ ธันวาคม” วันคล้ายวันขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติ “สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช”
ถึงผมไม่บอก ก็เชื่อว่า “ฝังจำ” คนไทยทุกคนอยู่แล้ว
แต่ก็อดนำมาย้ำไม่ได้…..
ก็ด้วยจิตกตัญญูของลูกหลานไทยที่ผูกมั่นอยู่กับการกู้ชาติของ “สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช” พระองค์นี้
ถ้าไม่มีพระองค์ท่าน เมื่อปี พ.ศ.๒๓๑๐ คือเมื่อ ๒๕๔ ปีที่แล้ว
แผ่นดินนี้ก็ “สิ้นแล้ว” ซึ่งคำว่า “ราชอาณาจักรไทย”!
ก่อนๆ ในทุก ๒๘ ธันวา. ผมจะเวียนไปถวายเครื่องราชสักการะพระบรมรูป “สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช” ตามสถานที่ต่างๆ
แต่เมื่อสถานการณ์โรคระบาดไม่อำนวย ถึง ๒๘ ธันวา. ก็บริจาคทรัพย์เพื่อสาธารณประโยชน์อุทิศถวายเป็นพระราชกุศลแทน
อย่างปีนี้ บริจาคเข้ามูลนิธิ “โรงพยาบาลราชวิถี” ตามกำลัง ๒๐,๐๐๐ บาท เพื่อการรักษาผู้ป่วยที่ขัดสน
ก็อยากให้ผู้ที่มีเงินทองพอแบ่งปันได้ ช่วยกันแบ่งปันเพื่อคนเจ็บป่วยที่ลำบากกว่าเรา ด้านค่ารักษาพยาบาล ตามโรงพยาบาลต่างๆ กันบ้าง
“เนื้อนาบุญ” น่ะ ไม่ได้เป็นเฉพาะกับพระ-กับวัด เท่านั้น การช่วยเหลือเกื้อกูลต่อกัน ทั้งกับเพื่อนมนุษย์และสัตว์ ก็เป็น “เนื้อนาบุญ” เช่นกัน!
ฉะนั้น การให้ การแบ่งปัน ไม่เพียงทรัพย์สินเงินทอง แม้กระทั่งการให้ความรัก ความเมตตา ความปรารถนาดีต่อกัน ไม่ผูกพยาบาท-จองเวร ต่อกัน
นั่นก็เป็นการ “ให้” ที่มีอานิสงส์ “เป็นบุญ” ด้วยเช่นกัน
เพราะ “โลกหมุน” หรอก เราถึงอยู่กันได้
ฉันใด ก็ฉันนั้น เพราะมนุษย์มีการ “ให้” หมุนเวียนต่อกันหรอก “สังคมมนุษย์” จึงดำรงอยู่ได้
โรงพยาบาลหลวงน่ะ นับเป็น “ที่พึ่งอันประเสริฐ” ยามเจ็บไข้ได้ป่วยของคนทั่วไป โดยเฉพาะระดับชาวบ้าน เมื่อเจ็บป่วยขึ้นมา มีเงิน-ไม่มีเงิน ก็ต้องไป
ฉะนั้น ท่านที่เหลือกิน-เหลือใช้ ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร ก็เจียดแบ่ง เพื่อคนเจ็บป่วยที่ขัดสนตามโรงพยาบาลกันเหอะ
ผมไปราชวิถีปีละ ๓-๔ หน เห็นแล้วอึ้ง!
อึ้งในประเด็น ทำไมคนเจ็บ-คนป่วยในแต่ละวันที่มาโรงพยาบาล ช่างมากมายเหลือเกิน ทั้งต่างจังหวัดและคนกทม.
แต่ประทับใจกับแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ทุกคนของโรงพยาบาลนี้จริงๆ แม้กระทั่งกับ พนักงานดูแลห้องน้ำ
แต่ละคน-แต่ละแผนก เป็นพ่อพระ-แม่พระกันดีเหลือเกิน เอาใจใส่คนป่วยมารักษาแบบเสมอหน้ากันหมด
เอื้อเฟื้อ ดูแล พูดจาเพราะ มีน้ำใจ ไม่แสดงอาการเบื่อหนาย รำคาญ กับคนป่วย ระดับชาวบ้านตาสี-ตาสา เลย
เห็นคนล้นโรงพยาบาลแต่มืด-แต่ดึก อดนึกไม่ได้ว่า ประเทศไทย ทำไมจึงมีแต่คนป่วย?
ดูแล้ว การสาธารณสุขเรามัน “กลับหัว-กลับหาง” ยังไงพิกล?
น่าจะปรับแผน “เสริมสร้างสุขภาพ” ให้ประชาชนแข็งแรง ป่วยน้อยที่สุด
แทนทัศนคติ “สร้างโรงพยาบาล” มากๆ เพื่อรองรับคนเจ็บป่วย ซึ่งเป็นการสูญเปล่ากับปลายเหตุ ที่ไม่เกิดมูลค่าทางบวกกับอนาคตประเทศ
พูดง่ายๆ เน้นสร้างสุขภาพประชากรแต่วัยเด็ก-วัยหนุ่ม-วัยสาว แทนการทุ่มงบไปสร้างโรงพยาบาล ไปซื้อยา มาเพื่อคอยรักษาประชากรในบั้นปลาย ที่มีมากเกินเหตุ
ก็ต้องฝากรัฐมนตรีสาธารณสุุข “คุณอนุทิน ชาญวีรกูล” ช่วยคิด เรื่องอย่างนี้ ปุบปับแก้ไม่ได้ ต้องแก้ระยะยาว
ควบคู่ไปกับ “แผนประชากรศาสตร์”….
ที่กำลังเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศมากๆ ถ้าไม่รีบแก้ จะเป็นวิกฤต “อนาคตประเทศ” ใหญ่หลวง
ทุกวันนี้ สัดส่วนประชากรศาสตร์ไทย “ขาดสมดุล” มาก คือเกิดใหม่น้อย เป็นลูกโซ่ถึงการเข้าสู่วัยเด็ก-วัยเรียนน้อย จะว่าไป นับตั้งแต่อเมริกันหลอก “ตอนคนไทย” ด้วยแผนให้ “คุมกำเนิด” เมื่อ๓๐ -๔๐ ปี ด้วยสโลแกน “มีลูกมากจะยากจน” ส่งผลให้ไทยเป็น “ประเทศคนแก่” ขณะนี้
ผลที่เห็นชัด วัยเรียน-วัยหนุ่ม-วัยทำงาน มีน้อย จะไปมากในวัยกลาง-วัยแก่ และมากสุด ในวัยชรา
ทุกวันนี้ เราจะได้ยินคำว่า “ยุบโรงเรียน” เพราะไม่มีเด็กเรียน ยุคเฟื่องฟูมหา’ลัยหมดไป เพราะมีวัยหนุ่ม-วัยศึกษาเข้าสู่ระบบลดลง
เราจะได้ยินคำว่า “ขาดแคลนแรงงาน” เราจะได้ยินคำว่า “คนแก่รอสวัสดิการ” เราจะได้ยินคำว่า “ผู้สูงอายุ”
และได้เห็นบริษัทประกัน แย่งกัน “หากินบนความตาย” ของคนสูงอายุ ด้วยการสร้างรูปแบบจูงใจ “ดูดเงินประกัน”
ยิ่งสังคมยุคนี้ คนมีฐานะ มีการศึกษ แต่งงานไม่นิยมมีลูก ถึงมี ก็มีไม่เกิน ๑-๒ คน
ยิ่งน่าห่วง ทั้งอันตรายต่อศักยภาพและการดำรงอยู่ของชาติอยางมีศักยภาพ เพราะคนไทยมีแต่รุ่นแก่รอตายมากขึ้น
ขณะเดียวกัน รุ่นที่จะเกิดเข้ามาทดแทน หรือเป็นรุ่นเพิ่มประชากร มีน้อยมาก!
คุณอนุทิน ทำกัญชา “สิ่งต้องห้าม” เป็นร้อยปี ให้เป็น “สิ่งต้องใช้” ในวงการแพทย์สำเร็จได้วันนี้ นับเป็นผลงานรูปธรรมจับต้องได้อย่างหนึ่ง
ลองหารือท่านนายกฯ หาทางแก้ปัญหาเรื่อง “ประชากรศาสตร์” แล้วผลักดันเข้าสู่ “ขั้นปฏิบัตการ” ตามแผน เสียตอนนี้อีกซักเรื่องเถอะ
ทำคุณตอบแทนประเทศน่ะครับ
อย่าไปคิดหวังเสียงสรรเสริญเฉพาะหน้า เพราะมันจะไม่งอกให้เห็นดอก-เห็นผลปุบปับ แต่มันจะเป็นผลให้เห็นในอนาคตอีก ๑๕-๒๐ ปีข้างหน้า
“ไม้ล้มลุก” ปลูก “อวดดอก” เฉพาะหน้ากันเยอะแล้ว
ภูมิใจไทย ถ้าต้องการเป็น “พรรคยั่งยืน”
คุณอนุทินผลักดันแผน “เพาะประชากรศาสตร์” เป็น “ไม้ยืนต้น” ให้ประเทศอีกซักต้นซีครับ
การเมืองรอบ ๒๐ ปี แป๊บเดียวเอง
แต่ไม่ต้องรอนานขนาดนั้นหรอก……..
เมื่อแผน “สร้างประชากร-สร้างชาติ” ของรัฐบาล บนการขับเคลื่อนด้วย “สาธารณสุข” ผสม เป็นจริง-เป็นจัง
ผมเชื่อ ทุกฝ่ายจะยอมรับวิสัยทัศน์คุณอนุทินในระดับ “ผู้นำ” ทางบริหารประเทศ ด้วยเนื้องานรูปธรรม
จำ “ดาบวิชัย” ได้มั้ย?
ดาบวิชัยหรือ “ร.ต.ต.วิชัย สุริยุทธ” เมื่อปี ๒๕๓๐ ใครๆ เขาว่าแกเป็นตำรวจบ้า เสร็จงาน ก็ขี่มอไซค์ตระเวนปลูกต้นไม้
อำเภอปรางค์กู่ ศรีษะเกษ ได้ชื่อว่าดินแดนแห้งแล้งที่สุดของประเทศ
ดาบวิชัยปลูกต้นไม้ของแกไปเรื่อยคนเดียวตามริมถนนสองข้างทาง วันละต้น-สองต้น ท่ามกลางเสียงหัวเราะ เยาะหยันของคนพบเห็น
รวมแล้วกว่า ๒ ล้านต้น ในระยะเวลา ๑๐ ปี!
วิกิพีเดีย บันทึกไว้ว่า……….
พ.ศ. 2531 เป็นต้นมา ทุกเช้าและหลังเลิกงานของวัน ดาบวิชัยจะขับจักรยานยนต์ ตระเวนปลูกต้นไม้ไปตามพื้นที่ต่าง ๆ ในอำเภอปรางค์กู่
ในระยะแรก ในสายตาชาวบ้าน เขาถูกมองว่าเป็นคนบ้า แม้ว่าจะถูกสังคมมองไปในทางเช่นนั้น เขาก็ยังคงปลูกต้นไม้อยู่เรื่อยไป
“พ.ศ. 2541 เป็นต้นมา สังคมเริ่มเห็นผลจากการปลูกต้นไม้ของเขา เกิดโครงการปลูกต้นไม้ในที่สาธารณะเพื่อส่วนรวมเกิดขึ้น
ได้แก่ รณรงค์ปลูกต้นยางนา เพื่อเอาไว้สร้างบ้านเรือน รณรงค์ปลูกต้นตาล ซึ่งเป็นพืชสารพัดประโยชน์ รณรงค์ปลูกต้นคูน ต้นไม้ประจำภาคอีสานและประจำชาติไทย
และ รณรงค์ให้เปลี่ยนการทำนาปีเป็นไร่นาสวนผสม จนอำเภอปรางค์กู่ กลายเป็นอำเภอที่อุดมสมบูรณ์ อีกทั้งต้นไม้ที่เขาปลูกนั้นสามารถสร้างอาชีพให้กับชาวบ้านในอำเภอได้
พ.ศ. 2543 ประชาคมอำเภอปรางค์กู่ทั้ง 10 ตำบล ได้พร้อมใจกันลงมติใ ห้ใช้ 4 โครงการรณรงค์ดังกล่าว เป็นคำขวัญของอำเภอปรางค์กู่
ที่ว่า “ปรางค์กู่อยู่ในป่ายางกลางดงตาล บานสะพรั่งดอกคูน บริบูรณ์ไร่นาสวนผสม”
“ดาบวิชัย” ที่ใครๆ ว่าแกบ้า เกษียณเมื่อปี ๒๕๔๙ แต่ก่อนเกษียณ ได้รับพระราชทานยศเป็นกรณีพิเศษ เป็น “ร้อยตำรวจตรี” จากการอุทิศตนต่อประเทศชาติ เมื่อปี ๒๕๔๘
เนี่ย เป็นตัวสะท้อน “คนสร้างชาติ” แท้จริง!
กรณี “วิกฤต” ประชากรของไทยขณะนี้ ชาติกำลังต้องการคนอย่าง “ดาบวิชัย”
ท่านรัฐมนตรีสาธารณสุข ลองเป็น “ดาบอนุทิน” โลกอาจไม่จำ แต่ถ้าสำเร็จ “ไทยทั้งชาติ” จำท่านได้แน่
เวลานี้ ไทยร้อง “ขาดแคลนแรงงาน” จนต้องอิมพอร์ตแรงงานเข้ามา
เราเสียเอกราช “ศักยภาพประเทศ” ทางแรงงานให้เขมร-พม่า “ยึดครอง” ไปเรียบร้อยแล้ว!
แต่แผนแก้ “ประชากรไทยขาดรุ่น” ก็ยังไม่ได้รับการแก้ไขเป็นรูปเป็นร่าง
ฉะนั้น ถ้า “คุณอนุทิน” จะเป็น “ดาบวิชัย” ใช้การสาธารณสุขบุกเบิกสร้างประชากร
ไม่เกิน ๑๕ ปี ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน….
โดยเฉพาะภาคธุรกิจอุตสาหกรรม จะเหมือนชาวบ้านปรางค์กู่ ที่ “ขานรับ” ดาบวิชัย
เมื่อเห็นดอก-เห็นผล …….
จาก “คนบ้า” กลายเป็น “ผู้อุทิศตนต่อประเทศชาติ” กล่าวขานเป็นตำนานไทย-ตำนานโลกทุกวันนี้
เราต้องเปลี่ยนทัศนคติจาก “ลูกมากจะยากจน” ให้เป็น “ประชากรสมบูรณ์ เพิ่มพูนพัฒนาชาติ” ให้ได้
ไม่งั้น “พม่ายึดเมือง” แน่!