เปลว สีเงิน
ช่วงนี้….
ผมเป็นห่วง “โรคเครียดลงกระเพาะ” พวก “อิจฉาชน” จังเลย
“กระอักเลือดตาย” เอาง่ายๆ นะ เดี๋ยวจะว่าไม่เตือน!
พวกคุณต้องแยกออกจากกันให้ชัด
อะไรที่เป็นไปเพื่อประโยชน์ชาติ ทำแล้วชาวบ้าน-ชาวช่องมีผลได้ ก็เออๆ ออๆ ตามน้ำ ฉกฉวยตีกินว่าผลงานพรรคกู-ความคิดกูไปบ้างก็ได้
ไม่ต้องฝืนใจต่อต้าน-ตะบันด่าไปทุกเรื่องหรอก!
อย่างเรื่องเปิดประเทศ ๑ พฤศจิกา.เป็นต้นไป ก็ดี
เรื่องฟ้าดินบันดาล จู่ๆ ดาราฮอลลีวูด “รัสเซล โครว์” ช่วยโปรโมท “ภูเก็ต แซน์บ็อกซ์-ไทยเปิดประเทศ” ให้ก็ดี
แล้วชักชวนชาวโลกด้วยความรู้สึกระดับ “ต้องมาเที่ยวเมืองไทยกันให้ได้เชียวนะในชีวิตนี้”
นี่มันผลประโยชน์รวมล้วนๆ แถมได้มาฟรีๆ
ชนิดถ้าจ้างให้เขาเป็นพรีเซนเตอร์ สไตล์ซำเหมา ตระเวนถ่ายคลิปไปทั่ว ตื่นตา-ตื่นใจ คราง so amazing บ้าง so welcoming บ้าง มัน beyond gorgeous บ้าง ไม่ขาดปาก
แบบนี้ ทุ่มซัก ๕๐๐ ล้าน …
ให้ดาราฮอลลีวู๊ดระดับออสการ์อย่างรัสเซล โครว์ มาสวมแมสก์ตระเวนคลุกฝุ่นไปด้วย เข้าฉากชีวิตจริงไปด้วย พากษ์ไปด้วย
ก็ไม่มีทาง!
แต่ที่โครว์แสดงออกทั้งหมดนั้น มันบ่งบอกถึง falling in love ในความเป็นไทย ที่ถะถั่งออกมาจากใจของโครว์เองที่แท้ทรูและดีแทค
อย่างนี้เขาเรียก ปีติ ซาบซ่าน ดาลในความรู้สึก ลึกในหลืบของใจ
จ้างแสดงจะได้แค่แอคชั่นดารา แต่เพราะใจ โครว์ตกหลุมรักเสน่ห์ไทย ด้วยใจสิเน่หา จึงได้ความรู้สึกจริง โดยไม่ต้องจ้าง
คนมีหัวใจน่ะ ยากนัก ที่จะไม่รักไทย
ยกเว้น “คนไทย (บางจำพวก)” กันเองเท่านั้น!
และที่ “ลิซ่า แบล็คพิงค์” กับ “อันเดรอา โบเชลลี” นักร้องโอเปราชาวอิตาลี ซึ่งพิการทางสายตาแต่เด็ก ตกลงจะมา “เคาท์ดาวน์” ในไทย
เนี่ย….
เหล่านี้ ล้วนเกิดคุณูปการส่วนรวม ประโยชน์โภชผล หล่นใส่มือ ใส่ปาก ใส่ท้อง พวกเราทุกคนไม่เลือกหน้า ต้องเรียกว่า “กฤดาภินิหารประเทศ” โดยแท้
ฉะนั้น จะต้องอิจฉา ต้องเค้นความงั่งเป็นประเด็น-เป็นเหตุผลด้านๆ ไปค้านอย่างนั้น-อย่างนี้ ไม่มีอะไรดี ไม่มีอะไรถูกใจ “พวกมึง” ซักอย่างไปเพื่ออะไร?
ก็รู้แหละ องุ่น “ไร่ลุ่งตู่” น่ะ มันเปรี้ยวใช่มั้ยล่ะ?
ผมถึงบอกไง ในการคิด-การมอง ขั้นแรก ต้องแยกแต่ละเรื่องออกจากกัน อย่าเอามาเหมารวม
เรื่องผลประโยชน์บ้านเมืองกับประชาชน มันเป็นเรื่องส่วนรวม เป็นเรื่องหนึ่ง
เรื่องเก้าอี้นายกฯประยุทธ์กับความเป็นรัฐบาลประยุทธ์ มันเรื่องการเมือง (ส่วนตัว) เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เมื่ออิจฉานายกฯ ต้องการขัดแข้ง-ขัดขานายกฯ ต้องการล้มนายกฯ
นั่นมันเพื่อผลประโยชน์บนฐานการเมืองส่วนตัว
เมื่ออิจฉาเขา
โค่นในสภาก็แล้ว ในถนนก็แล้ว ปั่นเฟกนิวส์-แฮชแท็ก ก็แล้ว เจาะข่าว-เคาะไข่ในจอ ก็แล้ว ก็ยังล้มเขาไม่ลงซักที
ก็แปลงอิจฉาเป็นศาสตรามายามาร ปั้นเรื่องอื่นที่ไม่เป็นการทำลายส่วนรวมไปล้มเขาไปซี
ทำไมต้องเอาเรื่องรัสเซล โครว์ เรื่อง ๒๐๐ ล้าน จ้างลิซ่า แบล็คพิงค์กับอันเดรอา โบเชลลี มาเคาท์ดาวน์ในไทย อันเป็นเรื่องส่วนรวมของชาติบ้านเมือง เป็นเหตุไปอิจฉา-ด่าทอเขาล่ะ?
ไม่เอาน่า แค่นี้ ทั้ง “สามสัส-เพื่อไทย” ยังไม่ทันตายก็ “เน่าใน” เหมือนศพดองอยู่แล้ว
ขืนยังใช้อิจฉา ด่า-พาล แบบนี้ไปเรื่อย ต่อให้เลือกตั้งบัตร ๑๐ ใบ ก็อย่าหวังคนจะเลือกโคตรวงศ์โกงแบ่งกันคนไหนให้มาเป็นนายกฯ หุ่นให้อีก
ดวงเมืองไทยนี่ นอกจากเทพคุ้มครองแล้ว ดาราเทศยั่งช่วยเสริมส่ง
ผมอ่านที่คุณ “เถกิง สมทรัพย์” โพสต์ บอกว่า นอกจากรัสเซล โครว์ มาถ่ายหนังในไทยแล้ว ที่เชียงราย
มีกองถ่ายหนัง ถ้ำหลวงและ ๑๓ หมูป่า ของสตรีมมิ่งทีวียักษ์ใหญ่ Netflix ขนทีมงานมาถ่ายทำ
และภาพยนตร์เรื่อง Thirteen Lives ของ รอน โฮเวิร์ด ขนเงิน-ขนดารามาใช้จ่ายในเมืองไทยเป็นรายใหญ่เช่นกัน
เหตุการณ์ ๑๓ หมูป่า ติดถ้ำขุนน้ำ-นางนอนนี่ เท่าที่ฟัง มีระดับโลกมาถ่ายทำหลายราย
เมื่อวาน ผมอ่านในกลุ่มไลน์ “สู้ภัยโควิด” ของดร.อาทร จันทวิมล คุณ “อรรถจิต” โพสต์ไว้น่าสนใน ผมขออนุญาตนะครับ
………….
อรรถจิต
ความหวัง เชื่อมั่น
บ่ายวันเสาร์ที่ 9 ตุลาคม 2021 ผมได้รับเชิญจากสถานกงสุล ลอสแองเจลิส ให้ร่วมชมภาพยนต์ “TheRescue” ที่โรงภาพยนต์The Landmark อยู่ที่ West LA
ภาพยนตร์เรื่องนี้ สร้างจากมาจากเรื่องที่เกิดถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอนเชียงราย
Jimmy Chan และ Elizabeth chai Vasarhelyi Director and producer Music by Danial pemberton สนับสนุนโดย. National Geographic Flims
เรื่องเกี่ยวกับการกู้ภัย นำเด็กออกจากถ้ำ “ทีม13หมู่ป่า”
ผมไปถึงบ่ายสามโมงเศษ มีมีเดียชาวอเมริกัน และคนไทย โดยมีทีมเจ้าหน้าที่สถานกงสุลไทยไปคอยอำนวยความ
สะดวกในการลงทะเบียนและแจกอุปกรณ์ป้องกันโควิด 19
มีผู้ชมเกือบเต็มโรงภาพยนต์ ภาพยนตร์เริ่มฉายเมื่อ 16.10 น. ด้วยความยาว 1.47 ชม.
เนื้อเรื่องเน้นหนักไปที่กลุ่มนักดำน้ำที่เข้าไปช่วยเหลือนำเด็กทั้งหมดออก มีผู้สำคัญสี่ท่านเป็นชาวอังกฤษชาวออสซี่
Rick Stanton, Jason Mallinson, Chris Jewell, John Volanthen และผู้เขียนแผนที่ภายใน Vern Unsworth
การดำเนินเรื่องของภาพยนตร์ มุ่งเน้นเนื้อหาในทาง Documentary มากกว่าการเป็น Dramatic
ในเนื้อเรื่องมีบทเล่าหรือบอกกล่าวเป็นส่วนใหญ่ ของบุคคลกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ความยากลำบากในการช่วยเหลือ การเสียสละ และอุทิศตัวเพื่อเป็นจิตอาสา
เพื่อผู้รับชมได้เข้าใจเนื้อเรื่อง เพลิดเพลิน เห็นความสวยงามโลเคชั่น การมีน้ำใจของจิตอาสาในการ Rescuers เด็กทั้งสิบสามคน ไม่เป็นแบบDrama เหมือนภาพยนตร์ทั่วไป
แต่กระนั้น การเร้าใจและกินใจในเหตุการณ์ตอนจ่าแซม Navy Seals ของทหารเรือไทย ดำลงไปช่วยเด็กระยะทางไกล “จ่าแซม” ขาดออกซิเจนเสียชีวิต
ภรรยาของจ่าบอกด้วยน้ำตาว่า
“การมีน้ำใจ เป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง ถ้าไม่มีน้ำใจก็เริ่มไม่ได้ในจิตอาสา”
“ภูมิใจที่เป็นภรรยาของฮีโร่“
อีกตอนหนึ่งที่ทำให้ผู้ชมชาวต่างชาติเข้าใจลึกซึ้งถึงขนบประเพณีของไทยในความเชื่อและยึดเหนี่ยวมาแต่โบราณ
เช้าวันถัดมาของการพบเด็ก เนื่องจากเด็กๆ เหล่านั้นอ่อนแรง ถึงแม้จะมีแรงใจดี แต่การสร้างกำลังใจ ในการรอคอยออกมาข้างนอกนั้น สุดบรรยาย
ความหวังจะนำเด็กทั้งหมดออกมาให้ปลอดภัยนั้นซิ คือสิ่งต้องคิด
ประกอบกับเวลาที่เหลือนั้นมีน้อย ส่วนฝนยังตกหนักติดต่อกันไม่ยอมหยุด เรื่อนี้ทำให้ Rick Stanton เครียดและหงุดหงิด
เครียดกับปัญหาที่ปริมาณน้ำในถ้ำที่สูงขึ้น ยิ่งยากในการนำเด็กออกมา
เช้าที่ต้องครุ่นคิด เมื่อมีคนบอกให้ Rick ช่วยนำด้ายผูกข้อมือ (สายสิญจน์) ของ “พระครูบาชุ่ม” ติดตัวฝากไปให้เด็กที่ติดอยู่ในถ้ำ
เขาอารมณ์เสีย เอ่ย “บลูเชียด” พร้อมทิ้งด้ายนั้นลงบนพื้นจนเพื่อนนักประดาน้ำเตือน
“คุณรู้ไหม เด็กเหล่านั้นเชื่อมั่นในจิตวิญญาณ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จะทำให้เด็กๆ มีขวัญกำลังใจที่ดี”
เขาพยักหน้า Rick กำด้ายเหล่านั้นกลับขึ้นมาทันที
สามาธิ..กับเด็กกลุ่มนี้
โค้ชหรือหัวหน้ากลุ่มบอกให้เด็กๆ อยู่ในความสงบโดยการทำสมาธิ และกินเฉพาะน้ำที่หยดลงมาจากผนัง ไม่ดื่มน้ำที่มาจากพื้นที่ไหลผ่าน
คงไม่แปลกใจ พวกเขาอยู่กันหลายวัน อากาศไม่น่าจะเพียงพอ
ในวันที่ 14 Rick ตรวจดูออกซิเจนในบริเวณที่เด็กอยู่ พบว่าเหลืออ็อกซิเจนเพียง 15 % เท่านั้น และถ้าต่ำกว่า
10% โอกาสมีชีวิตรอดนั้นหมดลง
แต่เด็กเหล่านั้นเชื่อในตัวโค้ช สงบสติอารมณ์ การทำสมาธิทำให้การหายใจเบาบางและมีออกซิเจนเพียงพอ
ตลอดระยะเวลา 1.47 นาที มีสิ่งเร้าใจในภาพยนตร์เรื่องนี้ตลอดเวลา
เป็นภาพยนตร์น่ายกย่องชมเชยกับการสร้าง ดำเนินเรื่องและเพลงประกอบในภาพยนตร์ “ความหวัง” ความเชื่อมั่นที่ยิ่งใหญ่บวกกับการมีน้ำใจของคนไทย
ทั้งๆ ที่เหตุการแบบนี้ จะสำเร็จลงได้จากสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ มาสู่ “สิ่งที่เป็นได้” มาเป็นความร่วมมือของทุกฝ่าย กลายมาเป็นผลงานระดับโลก ที่หลายคนอยากมาไทย
ภาพยนตร์เรื่องนี้ ยกให้ National Geographic ทำให้ประเทศไทย “ได้โฆษณา” เมืองไทยโดยไม่รู้ตัว
ครับ….
เหล่า “อิจฉาชน” ที่ไม่มีการแยกแยะ เตรียมลมหายใจอัดเข้าปวดไว้มากๆ ก็แล้วกัน
เพราะช่วงนี้ หัวใจคงเต้นแรง เค้นอิจฉาเป็นคำด่านายกฯ ถี่หน่อย