เปลว สีเงิน
วัคซีนนี่ เหมือนน้ำอมฤต!
แค่รู้ว่ามาเท่านั้นแหละ ยังไม่ทันได้ฉีด โลกที่ซีดเซียว กลับสดใส เหมือนผักชีได้ฟอร์มารีน
ก็ทำให้รู้ว่า อำนาจนั้น “มี-ไม่มี” ไม่สำคัญ
ที่สำคัญคือ
จะบริหารและปกครองอย่างไร ทำให้ประชาชนเชื่อ และเชื่อนั้น นำไปสู่จริง และจริงแปรสภาพเป็นความมั่นใจในชีวิตและอนาคตของเขาได้
รัฐบาลบอก เดือนมิถุนา. “แอสตร้า เซนเน้” มาแน่ หนุ่ม-สาว รุ่น “หมอพร้อม” ได้ฉีดแน่
ก็มีทั้งฝ่ายเชื่อ-ไม่เชื่อ ถึงขั้น “สส.-รัฐมนตรี” ท้าเอาตำแหน่งเป็นเดิมพัน ในการ “มา-ไม่มา” ของวัคซีน
ปรากฏว่ามี “มาตามนัด”
ไม่ได้มาแค่แอสตร้า เซนเนก้านะ ซิโนแวคก็จะมา ซิโนฟาร์มก็จะมา ไฟเซอร์ ก็กำลังจะมา เรียกว่ามากันหมดเลย
ทำให้สส.ที่ท้าว่าไม่มา กลายเป็นหมาไปเลย!
ผู้คนจึงเกิดความเชื่อ
ไม่ได้เชื่อว่าสส.กลายเป็นหมา แต่เชื่อรัฐบาลว่าทำได้ตามพูด
วันนี้ ก็ เสาร์ ๕ มิถุนา…..
จันทร์ ๗ มิถุนา. “ตามสัญญา” เริ่มฉีดทั่วหล้า ใครจองที่ไหนไว้ ก็ไปลงเข็มที่นั่น
ต่อเนื่องเรื่อยไปจนถึงธันวา.น่าจะได้ ๗๐-๘๐% ก็จะเกิดอุปาทานหมู่…อุ๊ย ไม่ใช่ “ภูมิต้านทานหมู่” ในประเทศ
นี่….
ขนาดหนังยังไม่ทันฉาย ผู้คนแปลงความเชื่อในรัฐบาลเป็น “ความมั่นใจ” ว่าประเทศไทยไปโลด จองตั๋วเที่ยวกันเจี๊ยวจ๊าวแล้ว
เจิดจ้าเป็นอนาคตถึงตลาดทุนด้วย
นักวิเคราะหุ้น ถึงขั้นบัญญัติศัพท์เรียกหาหุ้นกระชุ่นตูดบางตัวว่า เป็น “หุ้นเปิดเมือง”!
แสดงว่า ขณะนี้ คนมั่นใจล้นปรี่ มีทั้งวัคซีนรัฐบาล และวัคซีนทางเลือก ใครพอใจอย่างไหน ตามบายเลยครับพี่น้อง
เมื่อ “ความมั่นใจ” เกิดในสังคมชาติ
จะให้ย้าย “ภูเขาทอง” ไปไว้ที่ “วัดสระเกศ” แป๊บเดียว ก็เรียบร้อย!
ตอนนี้ คนมองข้ามหัวโควิดไปเศรษฐกิจไตรมาส ๓-๔ จนถึงต้นปีหน้าโน้นแล้ว
เรียกว่า พอมั่นใจวัคซีนมาแน่ “กูไม่กลัวมึง” ทันที
ดูท่าทาง นายกฯ มีกำลังใจขึ้น เมื่อวาน (๔ มิย.) ตีกลองประชุมกรรมการศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ (ศบศ.) ฟิตใหญ่
๑ กรกฏา.คือ เดือนหน้า
เปิด “ภูเก็ต แซนด์บอกซ์” ให้ต่างชาติเข้ามาเที่ยวโดยไม่ต้องกักตัว ๑๔ วัน เพียงแค่ฉีดยากันมาแล้วเท่านั้น
แซนด์ บอกซ์ นี่ ไม่ใช่โปรโมทให้ฝรั่งมางาน “ก่อพระเจดีย์ทราย” นะ หมายถึง “แบบนำร่อง” น่ะ
นายกฯ ดีดยี่ต๊อก ถึงธันวา.จะมากันซักแสนกว่าคน เงินหกตกหล่น ประมาณหมื่นล้านกว่าๆ
พักภูเก็ต ๗ วัน จะไปเที่ยวต่อจังหวัดไหนก็ได้ ราวๆ ตุลา.จะเปิด กรุงเทพฯ พัทยา (ชลบุรี) เพชรบุรี ประจวบฯ บุรีรัมย์
ส่วนภาคเหนือ จะเริ่มเปิดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามา ตั้งแต่เดือนสิงหา.
ผมดูคร่าวๆ จากข่าวนายกฯ แถลง เมื่อถึงระดับประชุมศบศ.เอง นายกฯแถลงเอง แสดงว่า
“ปฏิบัติการวัคซีน” อยู่หมัด-อยู่มือแล้ว!
แต่ผมว่านะ ไม่ใช่ขัดคอ
ท่านนายกฯ อย่าเพิ่งรีบลงรายละเอียดการเปิดเมืองถึงขั้นไทม์ไลน์ ขณะนี้เลย
อยากให้ท่านเชิญหน่วยงานที่สัมพันธ์ด้านเปิดเมืองมาพูดจาให้เป็นที่เข้าใจตรงกันก่อนดีกว่า เดี๋ยวจะมีปัญหาเหมือนเรื่องจองฉีดวัคซีนอีก
คือท่านเนมเฉพาะไม่กี่จังหวัดที่จะเปิด แล้วจังหวัดอื่นๆ ล่ะ หมายความว่า เขายังมีโควิด ให้เปิดไม่ได้อย่างนั้นหรือ? ความจริงนะ….
ที่ติดโควิดหนักๆ ตอนนี้ ก็เฉพาะกรุงเทพฯ กับจังหวัดภาคกลางที่เป็นไข่ขาว-ไข่แดง นี่แหละ
จังหวัดห่างไกล มีพอเป็นกระสายยา แต่กลับเป็นว่า จะเปิดกรุงเทพฯ ชลบุรี เพชรบุรี ก่อน ซึ่งเป็นพื้นที่ “บิดาแห่งโควิด” แท้ๆ
อย่าง ศรีสะเกษ ยโสธร บึงกาฬ กาฬสินธุ์ สกลนคร นครพนม มุกดาหาร แพร่ พะเยา เชียงราย แม่ฮ่องสอนอุทัยธานี พังงา ชุมพร ปัตตานี ยะลา และฯลฯ
คนจังหวัดเหล่านี้ จนป่านนี้ เขาไม่รู้จักเลยว่า “โควิดมันหน้าตาเป็นไง” เพราะไม่มีระบาดที่นั่น
นี่คือตัวอย่างที่ต้องนำเข้ามาเป็น “โจทย์ร่วม” ก่อนออกพิมพ์เขียวท่องเที่ยว ไม่ว่าจะแซนด์บอกซ์ หรือ แซนด์วิช
จะภูเก็ต กรุงเทพฯ ชลบุรี หรือไหนๆ ที่จะเปิดน่ะ เปิดเลย ผมไม่ได้แย้ง
หากแต่แย้งว่า เอาทั้งหมดช่วยกันคั้นแล้วใส่กระชอนกรองให้ถ่องแท้ก่อนดีมั้ย?
ภูเก็ตเปิด พัทยาเปิด หัวหินเปิด แล้วทำไมเชียงใหม่ ซึ่งเป็นพื้นที่เป้าหมายของนักท่องเที่ยวระดับโลกด้วย จึงแซนด์บอกซ์ พร้อมไปด้วยไม่ได้
นี่อาจเกิดเป็นคำถามน้อยๆ ด้วยทัศนคติบวก ไม่ใช่ร่างกายอยากบวก!
เมืองไทย จุดเด่น ไม่ใช่แซนด์ทางใต้อย่างเดียว ซึง-ทางเหนือ แคน-ทางอีสาน ก็เด่น ดึงนักท่องเที่ยวได้อยู่
ความหมายของผมคือ การมาเมืองไทยของต่างชาติ สังเกตว่า มีเป้าหมายหลากหลายมาก
เพราะไทยมี “อะไรดีๆ” ที่ทั้งโลก “หายาก” อยู่มาก เราอาจชิน เพราะเห็นแบบไม่เห็นแต่อ้อนแต่ออก
แต่ “ต่างชาติ” เขาเห็น และเขามากันคึ่กๆ หากแต่เราเหมารวมเป็นนักท่องเที่ยวทั่วไป
มีคนกลุ่มหนึ่ง โตขึ้นเรื่อยๆ และแบบเงียบๆ คือ กลุ่มฝึกสมาธิจิต ที่เรียก meditate
เนี่ย….
ได้ยินคำว่า “หลุมดำ” ในจักรวาลกันใช่มั้ย ทุกวันนี้ สังคมโลกเคี่ยวคลั่ง หมุนวนดูดมนุษย์เข้าไปค่นคลั่กอยู่ในเกลียววัฏฏะ
โลกมีคำตอบเป็นทางออกให้มนุษย์
แต่มนุษย์ โดยเฉพาะสังคมตะวันตก ค้นหาทางออกนั้นไม่พบ!
ขณะนี้ เขาพบแล้ว
พบว่า กุญแจที่ไขออกจากวังวนชีวิตได้นั้น คือ “สมาธิพุทธะ”
มนุษย์ติดกรงขังโควิดมาเข้าปีที่ ๒ ที่ ๓ ทุกคนเครียดกับชีวิตมาก การเปิดเมืองให้คนเข้ามาเที่ยว เราอาจเพ่งเล็งจุดนั้น
แต่ผมแอบสังเกตมาตลอด ว่ากลุ่มที่มาไทย มุ่งสู่สำนักฝึกสมาธิจิตโดยตรง มีมากขึ้นเรื่อยๆ เรียกว่า “ตลาดโต” เงียบ
ตัวอย่างเช่น ถ้าเอ่ย “แม่ฮ่องสอน” ต่างชาติ รู้จักน้อย แต่บอก “ปาย” จะรู้จักกันมาก
ที่ “วัดป่าถ้ำวัว” คนไทยอาจไม่รู้จัก แต่ทั่วโลกรู้จัก ได้ชื่อว่า สุดยอดสถานที่ปฏิบัติธรรม ๑ ใน ๕ ของโลก
ผมก็ไม่เคยไปนะ ติดตามแต่ข่าว ว่ามีต่างชาติมาฝึกสมาธิจิตกันเป็นพันๆคนแต่ละปี
อ่านตาม https://insidewatthai.com เขาบอกว่า เป็นวัดที่มีชาวต่างชาติจากทั่วทุกมุมโลกกว่า ๑๔๐ ประเทศ มาฝึกปฏิบัติธรรมและฝึกสมาธิ
ในแต่ละปี จะเดินทางมากันไม่ต่ำกว่า ๒ พันคน
พระอธิการสายหยุด ปัญญาธโร (หลวงตาสายหยุด) ท่านเจ้าอาวาส เมตตาบอกว่า
ในจำนวนที่มา มีทั้งคนที่นับถือศาสนาคริสต์ และอิสลาม ที่ต้องการมาปฏิบัติธรรม โดยไม่มีการแบ่งเชื้อชาติ ชนชั้น หรือวรรณะ แต่อย่างใด
ทุกคนอยู่ร่วมกันด้วย เมตตาธรรม
สำหรับการสอนปฏิบัติธรรม เน้นที่การกำหนดจิต รู้สติ แต่บางคนที่ถนัดในการทำสมาธิในรูปแบบอื่นๆ ก็ไม่มีการห้ามหรือบังคับแต่อย่างใด แล้วแต่ความสมัครใจ
ในประเทศในแถบเอเชีย บริษัทในสิงคโปร์ ฮ่องกง และไต้หวัน จะนำพนักงานของบริษัท มาปฏิบัติธรรม เพื่อเพิ่มสมาธิในการทำงานให้แก่องค์กร
นี่ผมยกเป็นตัวอย่างเท่านั้น ว่าธีมเปิดเมืองนั้น ลองให้ททท.ประสานสำนักพุทธฯ
จัดโปรแกรมเดินทางมาเพื่อ “สมาธิจิต” สำหรับชาวต่างชาติกลุ่มนี้บ้าง น่าจะเวิร์ก ไม่ต้องห่วงว่าเที่ยวเพ่นพ่านด้วย
ก็แค่ความเห็นน่ะครับ
ผมไม่ท้าเดิมพันว่า “จะทำ-ไม่ทำหรอก” เพราะผมไม่ใช่สส.ที่บ้าจนตาเหลือก!