จอมพลป. “จอมโหด ๒๔๗๕”

เปลว สีเงิน

อ้าว…..แล้วกัน!
ผบ.ปราบโควิดพื้นที่ “นายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี” ผู้ว่าฯสมุทรสาคร ติดเชื้อโควิดเองซะแล้ว
ก็เป็นกำลังใจให้ท่านนะ
จะเกษียณปีหน้าพร้อมปลัดฯ มหาดไทย “ฉัตรชัย พรหมเลิศ” อยู่แล้วมิใช่หรือ แทนที่จะได้ครึ่งงาน-ครึ่งพักผ่อน เพราะโควิดแท้ๆ ทำให้ต้องแจ็กพอต

เห็นทีปลัดมท.คงต้องลงจากหอคอยไปบัญชาหน้างานบ้างแล้วละมั้ง แบบนี้?

ไม่เพียงผู้ว่าฯ เห็นข่าวรัฐมนตรีสาธารณสุข “นายอนุทิน ชาญวีรกูล” ยกคณะมด-หมอไปกินกุ้งโชว์ที่มหาชัย ก็ได้เชื้อโควิดเป็นของชำร่วยกลับมาเหมือนกัน

ไม่เป็นไรนะ ถือว่าโชคดีที่ได้โควิดช่วยสร้าง “ภูมิต้านทาน” ให้ สังเกตว่ารอบนี้ “มาเร็ว-มาแรง” แต่พิษสงดูอ่อนแรง

ก็ดูซี ตัวเลขป่วยลาม ๕๐-๖๐ จังหวัด พรวดเดียวเป็นพันๆ แต่ไม่ตายซักราย นอนให้หมอดู ๔-๕ วันหาย สบายดี
แสดงว่า โควิด “อยู่มือ” แล้ว คือเชื้อมันเข้าไปอยู่ในตัวประชาชนส่วนหนึ่ง จนร่างกายสร้างภูมิต้านทานได้แล้วอาการจึงไม่ออก

เมื่อแรงงานพม่า “ถิ่นเฮียม้อ” ป่วยประจาน ก็เลยตื่นตรวจเข้มทั่วประเทศ จึงพบที่โน่นติด..ทีนี่ติด แต่แห่งละหยุมหยิมพองาม
รวมๆ แล้วดูมาก แต่ให้มากขนาดไหน ไม่ปรากฏซักรายว่าอาการร้ายแรง

ฉะนั้น อย่าตีข่าวให้แตกตื่นจนเกินเหตุ ระบาดรอบนี้ ถือซะว่าเป็นรอบ “สร้างภูมิ”

โลกใบนี้ หมุนรอบตัวตลอดเวลา ฉะนั้น เดี๋ยวทุกอย่างมันก็หมุนผ่านไป ซักเดือน-สองเดือน โควิดก็แค่ “น้องคนสุดท้อง” ที่น่ารักของหวัด!

ที่สำคัญ รัฐบาล “ให้แต่ละจังหวัด” บริหารปัญหา “โควิด” กันเอง นั่นดีแล้ว
แต่ให้ปืนก็ควรให้กระสุน “คืองบ” เขาด้วย

งานนี้ควรดึงแต่ละเทศบาลเข้ามาร่วมแผนปฏิบัติการพื้นที่ด้วย
โควิดรอบนี้ เช็คสภาพ “คนในระบบราชการ” ไปในตัว ผลรอบแรกออกมาแล้ว

-มหาดไทย เครื่องยนต์ตกยุค
-ตำรวจ เครื่องยนต์กินน้ำมัน
-สาธารณสุขและแรงงาน ยังต้องบดวาวล์ เปลี่ยนแหวน ให้เป็นยูนิตกับพื้นที่ สนองรัฐมนตรีให้น้อยลง

เปลี่ยนเรื่องคุยบ้าง ช่วงนี้มีการปลุกผีคณะราษฏรขึ้นมาพูดกันมาก อาศัยช่องคนไทยใฝ่ประวัติศาสตร์น้อย บางพวกจึง “บิดความจริง” เพื่อประโยชน์ฝ่ายตน

อ่านบทความ “Padipon Apinyankul” ที่คนนำมาโพสต์ มีคุณค่า “ควรรู้” ในหลายประเด็นที่บิดๆ กันอยู่ โดยเฉพาะจากพวก “สามนิ้ว-สามสัส” ขออนุญาตลอกมาให้อ่าน

#บทความโดย “Padipon Apinyankul”
#คณะราษฎรปล้นทรัพย์พระมหากษัตริย์
วันก่อนทายาทขุนนิรันดรชัย ได้ออกมาแถลงสำนักผิดแทนบิดา ที่มีส่วนในการได้ประโยชน์จากการยึดทรัพย์จากพระมหากษัตริย์

จริงๆ แล้ว ไม่ใช่มีแต่ขุนนิรันดรชัย (ปัจจุบันคือสกุล นิรันดร) ยังมีอีกหลายตระกูลที่ได้ร่วมกันเอาทรัพย์นั้นมาโดยมิชอบ

ดังนั้น คนไทยควรอ่านประวัติศาสตร์ให้ครบ ไม่ใช่อ่านแต่เฉพาะเนื้อในที่คณะราษฎร 2475 เขียนยกย่องตัวเองเอาไว้ในหลักสูตรการเรียน

ควรอ่านเอกสารอื่นๆ หรือบันทึกหรือเรื่องราวที่พระมหากษัตริย์ไม่สามารถเขียนออกมาเพื่อโต้ตอบ ….หรือแม้จะแค่เขียนเพื่อชี้แจง ก็ไม่มีใครเอาบรรจุไว้ในหน้าหนังสือประวัติศาสตร์ให้เด็กไทยได้อ่าน

“พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ ผู้น่าสงสารมาก”

พระองค์เป็นฝ่ายถูกกลุ่มที่เรียกตนเองว่า คณะราษฎร กระทำมาโดยตลอด พระองค์ถูกคณะราษฎรมองเป็นศัตรูตั้งแต่เมื่อพระองค์คัดค้าน บทเฉพาะกาลของคณะราษฎร นั้นคือ เมื่อปฏิวัติได้ คณะราษฎรเขียนอ้างไว้ในบทเฉพาะกาลว่า

“คณะผู้ก่อการยึดอำนาจนี้ จะยึดอำนาจการปกครองเอาไว้ 10 ปีก่อน แล้วจึงค่อยให้ไปอยู่ในมือประชาชน”

(ความหมายง่ายๆ คือ 10 ปี นับจากยึดอำนาจจากพระมหากษัตริย์ จะไม่มีการเลือกตั้ง หรือให้ประชาชนตัดสินใจร่วมใด ๆ พวกกู พวกข้า จะจัดการอำนาจในมือนี้เอง) ไม่นาน เพื่อหลีกหนีการเป็นหุ่นเชิด ที่พวกเขาจะใช้พระองค์หลอกลวงประชาชนว่า พระองค์สนับสนุนเห็นชอบกับการกระทำของคณะราษฎร

พระองค์ก็ทรงลี้ภัยไปอังกฤษ แล้วประกาศสละราชสมบัติ เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2478
เมื่อ ร.7 ประกาศสละราชสมบัติ ก็เข้าทางคณะราษฎรซึ่งต้องการฮุบอยู่แล้ว จึงเข้ายึดเอา “พระคลังข้างที่”

(พระคลังข้างที่ คือเงินสะสมที่ได้มาจากการค้าขายตั้งแต่สมัย ร.3 หรือที่เราเรียกว่าเงินถุงแดง เพราะสมัยก่อน ร.3 จะใส่เอาไว้ในถุงสีแดง วางไว้ข้างๆ พระแท่นที่บรรทม จึงเรียกอีกชื่อว่า พระคลังข้างที่)

คณะราษฎร ถือโอกาสที่พระองค์สละราชสมบัติ ประเทศไทยว่างเว้นประมุข เศรษฐกิจซึ่งตกต่ำจากการเกิดสงครามโลกทั้ง ๒ ครั้ง
เป็นจังหวะในเปลี่ยน “พระคลังข้างที่” มาเป็น “สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์”
โดยให้เจ้ากระทรวงการคลัง (รมต.กระทรวงการคลัง) เป็นผู้มีอำนาจในการจัดการพระคลังข้างที่

ความหมายง่ายๆ ก็คือ ยึดเงินสะสมของอดีตพระมหากษัตริย์ราชวงศ์จักรี เอามาอยู่ในมือของ “นักการเมือง” โดยอ้างคำว่า “ประชาธิปไตย” เป็นเกราะแห่งความถูกต้อง

ต่อมา เกิดปัญหาการฟ้องร้องเกิดขึ้น แล้วมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ พบว่ามีเงินหายไปประมาณ 6,272,712 บาท 92 สตางค์

รัฐบาลของคณะราษฎร จึงได้ “ฟ้องรัชกาลที่ 7 กับสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระราชินีคู่ชีวิต”

ความเหิมเกริมอันนี้ ทำให้คนไทยทั้งประเทศในขณะนั้นตกใจ ด้วยรัฐบาลคณะราษฎร ฟ้องเอาเงิน 6 ล้านกว่าบาทที่อ้างว่า เงินนั้นหายไปจากระบบการเงิน (ของพระมหากษัตริย์)

โจรไปปล้นเงิน ปล้นทอง ปล้นที่ดิน ปล้นบัญชี ของเจ้าทรัพย์ แล้วตรวจบัญชีว่า เงินเจ้าทรัพย์ที่ตัวเลขข้างล่างของสมุดบัญชีนั้น น้อยลงไปจากตัวเลขข้างบน แล้วโจรก็เกิดโมโหเจ้าทรัพย์

โดยเงินส่วนที่หายนั้น ที่จริงต้องเรียกว่าน้อยลงไป ….ไม่ใช่หายไปแบบคณะราษฎรกล่าวอ้าง เป็นเงินที่อยู่ในธนาคารต่างประเทศ เป็นเงินฝากตั้งแต่ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้ฝากไว้ในนามพระมหากษัตริย์ไทย,

เงินมันน้อยลงไป ????
แต่คณะราษฎรอ้างว่า “มันหายไป” … คณะราษฎรสงสัยว่ารัชกาลที่ 7 ทรงขโมยเงินของพระองค์เองไป???

คณะราษฎร ถ้าไม่โง่ ก็คงดักดานเกินคำว่าโง่ ..
เพราะมันเป็นเงินของพระมหากษัตริย์ไทย ฝากเอาไว้ที่ต่างแดน เพื่อจะได้เบิกใช้เป็นค่าใช้จ่ายในเวลาที่พระมหากษัตริย์เสด็จเดินทางไปเยือนยุโรป หรือเสด็จไปยังประเทศอื่นๆ

มันสำรองไว้ในบัญชี ……….
เพื่อไม่ต้องแลกเงินสดสกุลต่างประเทศพกติดตัวไป รัชกาลที่ 5 ทรงริเริ่มฝากเอาไว้
คณะราษฎรฟ้องร้องแล้วยังไม่แค่นั้น คณะราษฎรยังเล่นงาน รัชกาลที่ 7 หนักเข้าไปอีก

โดยหลวงประดิษฐ์ มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) เป็นโจทก์กระทรวงการคลังได้ขอให้ศาล “สั่งยึดทรัพย์จำเลย” (ร.7 และ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี) ในระหว่างการพิจารณคดีนี้เอาไว้ โดยอ้างว่า
“เกรงว่าจำเลยทั้งสองจะยักย้ายถ่ายเททรัพย์สิน”

คำอ้างแบบนี้ ถ้าจิตใจไม่ระยำ ทำไม่ได้จริง ๆ
ในเวลานั้น คุณพระสุทธิอรรถนฤมนตร์ ดำรงตำแหน่งอธิบดีศาลแพ่ง มีคำสั่ง “ไม่อนุญาตให้ยึดทรัพย์ในระหว่างการพิจารณา”

ผลปรากฏว่า หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ (คือ พล.ร.ต.ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ในเวลาต่อมา) มีคำสั่งย้ายคุณพระสุทธิอรรถนฤมนตร์ ออกไปยังศาลฎีกา ให้พ้นจากหน้าที่ตรงนี้, ใครขวาง ปัดให้พ้นทางไป

อีกด้านหนึ่งที่ประเทศอังกฤษ
ร.7 ทรงรักษาตัวจากอาการทรงประชวร พระองค์ต้องไปอาศัยอยู่หลายที่ เพราะช่วงเวลานั้นในอังกฤษมีการทิ้งระเบิดอยู่ตลอดเวลา (อยู่ในสงครามโลกครั้งที่ 2) พระองค์มีอาการหอบหืด เจ็บพระหทัย (หัวใจ) อากาศที่เย็นชื้นยิ่งทำให้โรคกำเริบได้ง่าย

เมื่อพระองค์รู้สภาพร่างกายของตนเอง พระองค์ก็คิดจะเขียนพระราชประวัติของตนเพื่อให้คนรุ่นหลังได้ทราบ
พระองค์เริ่มเขียนตั้งแต่แรกประสูติ เติบโต แต่ทรงเขียนพระราชประวัติมาได้เพียงอายุ 25 พรรษาเท่านั้น ..

พระราชประวัติตั้งแต่อายุ 26-47 พรรษา จึงไม่สามารถพระนิพนธ์ต่อได้จบ เพราะว่า
ในวันที่ 30 พฤษภาคม 2484 พระองค์ทรงฉลองชุดบรรทมแต่เช้า และรับสั่งกับสมเด็จพระราชินีว่า
ถ้าสมเด็จฯ จะเสด็จไปเก็บของที่พระตำหนักเวนคอร์ตก็ได้ ไม่ต้องเป็นห่วงพระองค์ (พระตำหนักเวนคอร์ต ถูกอังกฤษเข้ามายึด เพื่อจะใช้เป็นที่ทำการของทหารอังกฤษ รัชกาลที่ 7 ทรงเสียใจในเรื่องนี้อย่างมาก)

08.00 น.สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี จึงเสด็จออกไปโดยรถยนต์พระที่นั่ง, นางพยาบาลประจำตัว ร.7 ได้นำไข่ลวกนิ่มๆมาให้เสวย พระองค์ทรงอ่านหนังสือพิมพ์ แล้วบรรทมต่อ

09.00 น. สักพักหนึ่ง รัชกาลที่ 7 ทรงบอกว่า มีอาการเวียนหัว … นางพยาบาลจึงลุกขึ้นไปหยิบยา พอหันกลับมาก็เห็นพระพักตร์ตกห้อยอยู่ข้างๆ หนังสือพิมพ์ตกอยู่บนพื้น

นางพยาบาลรีบมาจับชีพจร จึงรู้ว่า พระองค์ทรงเสด็จสวรรคตเสียแล้ว ด้วยพระหทัยวาย รวมสิริพระชนม์มายุได้ 48 พรรษาเท่านั้นเอง

พระบรมศพ เป็นไปอย่างเงียบๆ เพียง 4 วันเท่านั้น ไม่มีการบำเพ็ญพระราชกุศลทางพระพุทธศาสนา เพราะไม่มีพระสงฆ์ .. ไม่มีพระราชพิธีใดๆ

ในวันที่ 3 มิถุนายน 2484 จึงเคลื่อนพระบรมศพไปยังสุสานโกดเดอร์สกรีน สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ผู้ทรงทุกข์ยากลำบากมาด้วยกัน ทรงอดกลั้นน้ำตาไม่ไหว ทรงรับสั่งเบาๆ ว่า “เขาไปแล้ว”

3 เดือนกว่าๆ หลังจาก รัชกาลที่ 7 เสด็จสวรรคตได้ไม่นาน ..
ในวันที่ 20 กันยายน 2484 ก็มีคำพิพากษา (หลังสวรรคต) ให้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว จำเลยที่ 1 และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี จำเลยที่ 2
เป็นฝ่ายแพ้คดี

รัฐบาลของนายพันเอก หลวงพิบูลสงคราม (จอมพล แปลก พิบูลสงคราม) จึงได้เข้ายึดวังศุโขทัย และริบทรัพย์สินต่าง ๆ ของรัชกาลที่ 7

นี้คือเบื้องอดีต ที่หลายคนยังไม่รู้
ตระกูลใดฉ้อฉล ตามน้ำ ริบเอาทรัพย์ของพระมหากษัตริย์ไป ตระกูลนั้นย่อมรู้แก่ใจดี .. เพราะมีรายชื่อปรากฏเป็นหลักฐานอยู่

แต่มันจะปรากฏออกมาให้ประชาชนผู้มีหัวใจสว่างได้เห็นกันเมื่อไร อย่างไรนั้นก็เป็นอีกประเด็นหนึ่ง

เหล่าพวกท่านคณะราษฎรที่ได้กระทำการลงไป นอนหลับฝันดีกันไหม สวดมนต์ภาวนาขออย่าให้มีใครเปิดเผยรายชื่อตระกูลตนออกมาบ้างไหม
บรรพบุรุษกระทำผิด ตัวพวกท่านย่อมไม่ผิด ถ้ายังสำนึกที่ดีในหัวใจ…ยกเว้นว่า
เห็นผิดเป็นชอบ กระทำซ้ำเติมลงไปในการสนับสนุนกลุ่มก่อการล้มเจ้า เพื่อปกปิดความผิดของตระกูลตน

เป็นไงครับ……
“ข้อเท็จจริงมา-ปัญญาไตร่ตรองเกิด” กันแล้วใช่มั้ย เรื่องจอมพลป.ในประเด็น “วิทยานิพนธ์” บิดเบือนที่พูดกันอยู่ตอนนี้นั้น

วันหลังผมจะนำจากบันทึก “สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร” ผู้สำเร็จราชการในพระองค์มาให้อ่านบางตอนกัน

แล้วจะรู้ ทำไมแก๊งสามสัส จึงขุดผีจอมป.ขึ้นมาเป็นธงนำ “ล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์”

“ทอน-ปิยบุตร-พรรณิการ์” รู้แล้ว คงอยากรู้อีกละซีท่า!

Written By
More from plew
ดิ้นกันไปเมื่อรู้ว่า “ใกล้เมรุ”
ลืมบอกไป…….! ว่าจะหาดูเทป “ด็อกเตอร์ตอแหล”ได้จากที่ไหน? ที่ว่า “องค์ประชุมเราครบนะครับ”…… “มติเอกฉันท์นะครับ”……. แต่พอ ๔ สส.มาขอเอกสารเพื่อไปสมัครเข้าพรรคอื่นตามเงื่อนไขรัฐธรรมนูญ
Read More
0 replies on “จอมพลป. “จอมโหด ๒๔๗๕””