เปลว สีเงิน
ก็น่าสงสารนะ…..
“ทักษิณ” ป่วยเป็น “โรคจิต” น่าจะรุนแรง “ขั้นสุดท้าย” เอาซะด้วย!
มิน่าล่ะ….
ระยะหลังๆ จึงดูเพี้ยนเอามากๆ พูดจาเลอะเทอะ สำราก ก้าวร้าว รุนแรง หยาบคาย ปราศรัยหาเสียง “หลุดกรอบ-ขอบกฎหมาย” จนน่าวิตก
ถ้าเป็นรถ เรียกว่า พาผู้โดยสาร ทั้งนายกฯ-ทั้งรัฐบาล-ทั้งพรรคเพื่อไทย “แหกโค้ง” เทกระจาด เรี่ยราด เกลื่อนถนน!
ก็ไม่รู้เวรกรรมอะไรของบ้านเมือง….
ที่ต้องให้คนโรคจิต พูดตรงๆ คือ “คนบ้า” เข้ามาพล่าน “ชี้นำรัฐบาล-ครอบงำพรรค”
จนประเทศจวนเจียนถูกแปลงเป็นบริษัทลูก ในเครือชินอยู่รอมมะร่อกับโครงการบ้าๆ บอๆ มากมาย
ที่สำคัญมุ่งแก้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เขียนใหม่เป็นรัฐธรรมนูญ ฉบับแบ่งแยกแห่งตระกูลโกง!
แล้วทั้งองคาพยพ “ระบบรัฐ-ระบบราษฏร์-ระบบสื่อ” ก็ดูจะสยบยอมคนบ้าซะด้วย
ก็คนบ้ามีเงินนี่นะ แถมกำลังสำลักอำนาจเหนือประเทศ
แค่เขากระเดาะปาก….
เห็นมั้ย ทั้งเจ้าหน้าที่ ทั้งพ่อค้าวาณิช กรูเกรียวตามกันไปพันแข้ง-พันขา ล้อมหน้า-ล้อมหลัง ฟังคนบ้าพล่าม
ทำหน้าปลื้ม…ปลื้มกับ “หางหมา” ว่าเป็น “หางราชสีห์”!
วานซืน (๒๕ มกรา.๖๘) ทักษิณไปสารภาพเองกับปาก-กับคำบนเวทีปราศรัยหาเสียง “นายกฯ อบจ.” ที่ศรีสะเกษว่า ตัวเขาเป็น “โรคจิต”!
แต่รู้ต่อเมื่อมันสายไปซะแล้ว…..
เพราะ “คนศรีสะเกษ” เขาไม่ปลื้มคนบ้า เห็นมีทนายผู้สมัคร “นายกอบจ.” ท่านหนึ่ง ไปแจ้งความตำรวจวันก่อน
เนี่ย…คร่าวๆ ที่คนนำมาโพสต์เฟซ อ่านดูนะ
……………….
คนศรีสะเกษ
“ทนายบุญถาวร ผู้สมัครนายก อบจ.จังหวัดศรีสะเกษ เบอร์ 3 แจ้งความบันทึกประจำวัน กรณีการหาเสียงของผู้สมัครพรรคเพื่อไทย
กรณี นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกนักโทษชั้น 14 ปราศรัยครอบงำพรรค และไม่ใช่สมาชิกพรรคเพื่อไทย แอบอ้างนโยบายพรรคเพื่อไทย ช่วยผู้สมัคร “นายก อบจ.” ศรีสะเกษ ซึ่งเข้าข่าย พรบ.การเลือกตั้งท้องถิ่น
แต่ทุกคนเป็นห่วงถึงการทำงานของ กกต.ที่ “นายอิทธิพร” ประธาน จะหมดวาระ
และบารมีอำนาจของนายทักษิณ ซึ่งควบคุมสั่งการรัฐบาลชุดปัจจุบันจะไม่กล้าดำเนินการกับการกระทำของนายทักษิณ ชินวัตร
แต่ด้วยสไตล์บู๊บุ๋นของนายบุญถาวร ไม่เกรงกลัวต่ออิทธิพล จึงได้แจ้งความและร้องเรียนไปยัง กกต.
และพร้อมจะฟ้อง กกต.ไปยังศาลอาญาทุจริต หาก กกต.ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่”
…………………………..
“ศาลอาญาทุจริต” ที่เขาโพสต์ หมายถึง “ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง”
และ “ทนายบุญถาวร” คือ “นายบุญถาวร ปัญญาสิทธิ์” เขาแจ้งความไว้ที่ “สภ.เมืองศรีสะเกษ”
เท่าที่ดูประเด็นเรื่องจากสื่อที่นำเผยแพร่วันก่อนๆ ต้องบอกว่า นายบุญถาวรนี่ สมกับที่เขาเป็นทนาย
เพราะเขาไม่ได้แจ้งความเปะปะ…
หากแต่มีแง่มุมทางกฎหมาย มีหลักฐานประจักษ์ ทั้งเข้าลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้ง เช่น….
-ทักษิณไม่ใช่สมาชิกพรรคเพื่อไทย แต่ส่อ “ครอบงำ-สั่งการ” ทั้งรัฐบาล-ทั้งพรรค และทั้งรัฐบาล-ทั้งพรรคเพื่อไทย ก็ยอมทำตาม
-ระเบียบ กตต. ห้ามผู้สมัครดำเนินการหรือยินยอมให้พรรคการเมืองหรือผู้ใดดำเนินการนำสถาบันพระมหากษัตริย์มาเกี่ยวข้องกับการหาเสียงเลือกตั้ง
แต่ก็มีผู้สมัคร “นายกฯ อบจ.” บางจังหวัด ปล่อยให้ทักษิณปราศรัยหาเสียง นำสถาบันฯ ไปเกี่ยวข้อง
-ระเบียบ กตต. ห้ามหาเสียงเลือกตั้งโดยใช้ถ้อยคำที่รุนแรง หรือปลุกระดมก่อให้เกิดความไม่สงบขึ้นในพื้นที่
คนโรคจิตก็เที่ยวด่าพ่อล่อแม่เขาไปทั่ว จะกระทืบเขาบ้าง ปลุกระดมให้เกิดความไม่สงบขึ้นในพื้นที่บ้าง เอาเงินแจก ๑ หมื่นไปล่อเสียงเขาบ้าง
ดูรายละเอียดตามประเด็นแจ้งความ อย่านึกว่า “หามีน้ำยาไม่” เชียวนะ
จะบอกว่า แจ้งความทักษิณ แต่ที่กินไม่ได้-นอนไม่หลับ คือ กกต.!
นอกจากทนายบุญถาวรแล้ว การใช้ถ้อยคำหาเสียงสร้างความไม่สงบของทักษิณ
ที่ว่า “ตระกูลไตรสรณกุล-ตระกูลจึง” เป็นงูเห่า ที่หนีจากเพื่อไทยไปอยู่พรรคภูมิใจไทย
ทำให้นายอภิศักดิ์ แซ่จึง “อดีตรองนายก อบจ.” ศรีสะเกษ ต้องโพสต์สอนทักษิณให้เข้าใจเรื่องการปกครองท้องถิ่น ตอนหนึ่ง ว่า
“……การเมืองท้องถิ่นเป็นการตัดสินใจของคนท้องถิ่น “องค์กรปกครองท้องถิ่น” ต้องเป็นอิสระในการบริหารงาน
มีนโยบาย มีความคิดเห็นของตัวเอง เพื่อที่จะตอบโจทย์ความต้องการของชุมชนสังคม
นโยบายของรัฐบาล เป็นการตอบโจทย์ “ภาพรวมของประเทศ” ไม่เฉพาะเจาะจงที่ใดที่หนึ่ง
ในขณะที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องวิเคราะห์ปัญหาของตนเองและหาทางแก้ไขภายใต้งบประมาณจำกัดและข้อจำกัดมากมาย
ดังนั้น การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดศรีสะเกษในครั้งนี้
ควรเป็นการตัดสินใจของชาวจังหวัดศรีสะเกษเองโดยไม่มีการชี้นำ จากบุคคลภายนอกที่ไม่มีส่วนได้เสียของชาวจังหวัดศรีสะเกษ
ปล.อนาคตของพวกเราฝากไว้ในการเลือกตั้งในครั้งนี้.
เออ…ผมว่าอดีต “รองนายกอบจ.” ศรีสะเกษ ท่านนี้ เข้าใจการเมืองระดับประเทศกับระดับท้องถิ่น แยกแยะได้ชัดเจนกว่าพวกสส.หลายๆ คน รวมทั้งทักษิณด้วย!
การเลือกนายกฯ อบจ.ศรีสะเกษ ๑ กุมภา.นี้…
บางทีจะเป็นคำตอบของคนทั้งประเทศก็ได้ว่า “คนไทยไม่ได้โง่นะ”!
เรื่อง “ผู้ช่วยหาเสียง” นี้ เกิดประเด็นน่าหวั่นไหวแทน กกต.ขึ้น คือเมื่อวาน (๒๖ ม.ค.)
“นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ” ส่งส่งหนังสือถึง กกต.ทาง EMS ให้ตรวจสอบ สรุปว่า
“ผู้ช่วยหาเสียง” ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่น
เป็น “ผู้มีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น ตามพรบ.เลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.๒๕๖๒
และ “ระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้ง” ว่าด้วยวิธีการหาเสียงและลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๖๓ หรือไม่?
และ…..
ปรากฏว่ามี “ผู้ช่วยหาเสียง” หรือผู้ใด ฝ่าฝืนไปแล้ว กกต.จะต้องรีบดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง อย่างไร หรือไม่?
ในหนังสือคำร้อง นายเรืองไกรแนบ “พรบ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.๒๕๖๒ มาตราที่เกี่ยวข้องไปด้วย
รวมทั้ง “ระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยวิธีการหาเสียงและลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.๒๕๖๓”
ซึ่งในระเบียบ ระบุว่า….
“ผู้ช่วยหาเสียง” หมายความว่า “ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ได้รับการว่าจ้างจากผู้สมัครให้เข้าร่วม กิจกรรมในการโฆษณาหาเสียงเลือกตั้ง…ฯลฯ….”
ซึ่ง “ระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้ง ว่าด้วยวิธีการหาเสียงและลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๑
ก็ให้คำนิยาม “ผู้ช่วยหาเสียง” ความหมายเดียวกัน คือ
“ผู้ช่วยหาเสียง” หมายความว่า “ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ได้รับการว่าจ้างจากผู้สมัคร หรือพรรคการเมือง ให้เข้าร่วมกิจกรรมในการโฆษณาหาเสียงเลือกตั้ง..ฯลฯ…”
สรุปสั้นๆ ตรงๆ ชัดๆ คือ
ตามระเบียบ กกต. คนที่จะได้รับการว่าจ้างให้เป็น “ผู้ช่วยหาเสียง” ได้ คนนั้น ต้องเป็น “ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง”!!!
แต่ “นายทักษิณ” หรืออีกหลายนายที่เป็น “ผู้ช่วยหาเสียง” เช่น นายธนาธร นายพิธา
กกต.ต้องตอบนายเรืองไกรเขาให้ได้ว่า เขาเหล่านั้น เป็น “ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง” หรือเปล่า?
จึงอนุญาตให้เขาไปตระเวณปราศรัยหาเสียงเลือกตั้งนายกอบจ. อยู่โครมๆ ขณะนี้ได้?
ผมก็ไม่ทราบและอยากรู้เหมือนกันว่า ที่กกต.ออกระเบียบปัจจุบันเป็นลักษณะ “แปลงสาร” ว่า..
“ผู้ช่วยหาเสียงเลือกตั้ง”
ผู้สมัครที่ประสงค์จะมีผู้ช่วยหาเสียงเพื่อช่วยเหลือในการหาเสียงในเขตเลือกตั้ง ให้แจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับผู้ช่วยหาเสียง หน้าที่ ค่าตอบแทน ตามแบบที่กำหนดให้ ผอ.กต.จว.ทราบก่อนดำเนินการหาเสียง …..ฯลฯ….”
โดยเปลี่ยนเนื้อหาและตัดคุณสมบัติ “ผู้ช่วยหาเสียง” จากที่ต้องเป็น “ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง” ทิ้งไป นั้น
ด้วยเหตุผลใด?
และถูกต้องตามระเบียบ กกต. ว่าด้วยวิธีการหาเสียงและลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.๒๕๖๓ หรือไม่?
ประเด็นนี้ ถ้า กกต.คิดว่า “เฉยไว้ เดี๋ยวก็เงียบเอง”
ผมก็เกรงจะเกิด “๗ ห่วงหนา” พาเหรดเข้าคุก
ซ้ำรอย ๓ ห่วงหนา “พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ, ปริญญา นาคฉัตรีย์, วีระชัย แนวบุญเนียร” ที่พาเหรดเข้าคุก
ตอนเลือกตั้ง “ยุคทักษิณ ปี ๒๕๔๙”!
เปลว สีเงิน
๒๗ มกราคม ๒๕๖๘