เปลว สีเงิน
เดือน “ตุลาคม” กับ “ประเทศไทย”
มีเหตุการณ์ผูกพันเป็น “ความทรงจำ” คนไทยหลายอย่าง
เช่น เมื่อวาน ที่ธรรมศาสตร์
มีทั้ง “คนเดือนตุลา” หน้าเดิม มีทั้ง “คนหน้าใหม่” ๔๘ ปีที่แล้ว ยังไม่เป็นสเปิร์มด้วยซ้ำ มาร่วมโหน “๖ ตุลา.๑๙” กับเขาด้วย
ฟังโวหารพร่ำรำลึกอดีตเมื่อร่วมครึ่งศตวรรษที่ผ่านมาแล้ว ก็ไม่ต่าง “ดูหนังม้วนเดิม”
๖ ตุลา.ที ก็งัดมาฉายที
รำลึกอดีตเพื่อสู่ทางแก้ไขหรือนำอดีตมาโหนปัจจุบันเพื่อเติมเชื้อไฟสู่อนาคต ผมก็ไม่แน่ใจ
แต่คำเปิดงานของ “อธิการบดีธรรมศาสตร์” คนใหม่ “นายศุภสวัสดิ์ ชัชวาลย์” เปิดโลกทัศน์ทางคิดใหม่ๆ ได้ดี
“แม้ผ่านไป ๔๘ ปี การเมืองไทยทุกวันนี้ ยังคงวนเวียนอยู่กับสิ่งที่เราอยากให้ก้าวข้ามไป
ส่วนตัวคิดว่า ทุกครั้ง ที่มีเหตุการณ์แบบนี้
เราต้องใช้ปรากฏการณ์ “ความเสียสละ” ของผู้คน หรือแม้กระทั่ง ความบอบช้ำของผู้คน เป็นสิ่งที่จะกระตุ้นให้สังคมของเราได้ตระหนัก ถึงความสำคัญของสิทธิเสรีภาพ
และความมีเสถียรภาพของระบอบการเมืองของประเทศต่อไป”
ใช่ เหตุการณ์ ๖ ตุลา.มีทั้ง “ด้านลบ” และ “ด้านบวก” แต่ ๔๘ ปี ผ่านไป เราหยิบแต่ด้านลบมาปลุกเร้ากันให้สู้ สู่การแตกแยก
ไม่เห็นมีใครก้าวข้าม ๖ ตุลา.ในด้านเจ็บปวดกันเลย
มีแต่นำมา “ตอกย้ำ-ซ้ำเติม” ด้านเดียวตะพึด
๖ ตุลา.นั้น “ตัวบุคคล-การกระทำ” คู่ควรแก่การหยิบยกมาพูดจาให้คน “รุ่นใหม่-รุ่นเก่า” เกิดแรงบันดาลใจ
เปิดทัศนคติเป็นมุมบวกในทางให้เราได้ยึดถือเขาเป็นแบบอย่างเพื่อสร้างทางใหม่ในปัจจุบัน ไม่ให้ซ้ำอดีต ไปสู่ทางอนาคตที่งดงามกว่า มีมากมาย
แต่..ทำไมเราจึงวนเวียนกันอยู่แต่ด้านความบอบช้ำซ้ำซากเล่า ต้องการชักลากอดีตให้กลับมาเป็นปัจุบันกันอย่างนั้นหรือ?
“ญี่ปุ่น” น่ะ….
ถ้าเขาไม่ก้าวข้าวการกระทำของ “สหรัฐฯ” ที่เอาปรมาณูไปถล่มเมือง ฆ่าคนเป็นแสน-เป็นล้านตอนสงครามโลก ขืนยังบ้าย้ำคร่ำครวญคิดแค้นอยู่แบบ “คนเดือนตุลา” ละก็
วันนี้…ญี่ปุ่นก็คง “เก็บเศษเหล็ก” ชั่งกิโลขายอยู่นั่นแหละ
ไม่เป็นประเทศล้ำโลก เกินคำว่า “พัฒนาแล้ว” ดังทุกวันนี้หรอก!
เห็นแต่ละคน ระดับดอกเตอร์บ้าง ระดับผู้นำทางแอบจิตวิญญานบ้าง เรียนสูง-รู้สูง กันทั้งนั้น
ก็อยากให้ไปหาคำประกาศยอมแพ้สงครามต่อฝ่ายพันธมิตร ชนิดไม่มีเงื่อนไขของ “จักรพรรดิฮิโรฮิโตะ” เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๘ มาอ่านกันดู
แล้วจะเข้าใจว่า ญี่ปุ่นเจ็บปวด-บอบช้ำ ยับเยินทั้งชีวิตและจิตใจ ขนาดไหนต่อการที่ต้องยอมแพ้สงคราม
แต่เขาต้องทน ทนความเจ็บปวดที่คนทั้งโลกไม่สามารถทนได้ แต่พวกเขาทั้งหลายต้องทนให้ได้
เพื่อลุกขึ้นยืนในวันข้างหน้าที่ดีกว่า
พลันที่องค์จักรพรรดิทรงประกาศยอมแพ้ รัฐมนตรี นักรบซามูไร และประชาชน พร้อมใจคว้านทอง แล้วโดดลงสระหน้าพระราชวัง ตายหลายร้อยคน
ทุก ๑๕ สิงหา. ๑๙๔๕ ญุี่ปุ่นเขาก็ “เดินหน้า-แลหลัง” กันทุกปี
แต่เขาแปลงความเจ็บปวดในอดีต เป็นพลังสร้างสรรสู่ทางปัจจุบันที่ยิ่งใหญ่ดังเห็น
ไม่ “ย้ำคิด-ย้ำทำ” แบบคนโง่เขลา
ที่เอากากอดีตมาคลุกเคล้าเป็นแค้นในทางล้างกันในปัจจุบัน ไม่รู้จักจบ-จักสิ้น
ก้นน่ะ ต้องล้างทุกวัน
แต่แค้น มีแต่คนเขลาและพวกงี่เง่าตามมหา’ลัยเท่านั้น หลับหู-หลับตา ล้างหากินกันตลอดปี-ตลอดชาติ
นัยว่า มันเป็นอาชีพ “ปลุกระดม” ทารกแห่งยุค แต่อยากเท่ เป็น “คนรุ่นใหม่”
เลยเป็นเหยื่อให้พวก’จานรุ่นพ่อ “หลอกใช้” เป็นเครื่องมือโหยหาประชาธิปไตยมา “ยาไส้ “ไปมื้อๆ!
ปลุกระดม…สู้..สู้
ไม่รู้เมื่อไหร่จะยกส้นเกือก ก้าวข้ามธรณีประตูอดีต สู่ปัจจุบัน ที่มีอนาคตเป็นเดิมพันในทางสร้างสรรร่วมกันเพื่อส่งต่อ “รุ่น-ต่อรุ่น” ผมก็ยังสงสัยเขาอยู่!
มี “ศิษย์อาจารย์ป๋วย” ท่านหนึ่ง เขียนเล่าสู่กันฟังในกลุ่มไลน์ บังเอิญผมได้อ่าน
เหตุการณ์บางตอน ตรงกับที่ผมสัมผัส เพราะตอนนั้นผมเป็นนักข่าว ย่ำอยู่แถว “ธรรมศาสตร์-สนามหลวง”
เขาเขียนไว้ ๒ ตอน ค่อนข้างยาว เห็นเข้าบรรยากาศ ๑๔ ตุลา.-๖ ตุลา.ที่ผู้กล้าตามฤดูกาลเขาออกมารำลึกกัน
ไว้ปลายสัปดาห์…..
ผมจะนำมาให้อ่านเป็นซีรีส์ไปเลย ขอเวลาติดต่อผู้เขียน “คิดถึงอาจารย์ป๋วย” ให้เขาอนุญาตก่อน
คุยกันเรื่องบ้าน ว่าด้วยสถานการณ์วันนี้บ้าง
“น้ำล้น-น้ำหลาก” ที่ภาคเหนือ “เชียงใหม่-เชียงราย” ก็ยังสามวันดี-สี่วันขึ้นอยู่ ผมไม่ใช่กรมอุตุฯ ฉะนั้น ไม่ต้องเชื่อผม
แค่คุยสู่กันฟังได้ คือ ผมว่า อย่าเพิ่งตายใจ ว่าท่วมแล้ว จะไม่มีน้ำรุ่นใหม่ไหลลงมาท่วมอีก
“พายุ” โดยตรง ยังไม่มีเข้าไทย ที่ฝนตก น้ำป่าหลาก เป็นผลกระทบเพียงหางๆ เท่านั้น
ประกอบกับ “ลมหนาว” ตามฤดูกาลจากจีนแผ่เข้ามาปกคลุม เย็นจากบ้านเขา กระแทกร้อนชื้นในบ้านเรา ก็ทำให้เกิดฝน
มันวิปริต-แปรปรวนไปทั่ว พูดตามประสาชาวบ้าน มันถึงยุค “น้ำท่วมโลก” ประมาณนั้น
ฉะนั้น ถ้าดูข่าว จะเห็นหลายประเทศในทุกทวีป ฝนตก-น้ำท่วม เหมือนๆ กัน
ที่สำคัญ “มาแล้ว-มาอีก” คือ เดือนนี้แค่ “สัญญานบอกเหตุ” ตกถึงปลายเดือน เรื่อยไปถึงพฤศจิกา-ธันวา.
ผมว่า โลกใบนี้ น้ำมากกว่าดินอยู่แล้ว แต่ที่ผ่านมานับหลายล้านล้านปี น้ำอยู่ในสภาพน้ำแข็ง จึงดูว่า ผืนดินมาก
แต่ตอนนี้ ผืนดินหลายส่วน ละลายคืนสภาพน้ำ
ที่สำคัญ “น้ำหนักมวลน้ำ” จะสร้างปฎิกริยากับ “แกนโลก” และนั้น เมื่อแกนโลกปรับสภาพ
สัญญานที่เห็น คือ “แผ่นดินจะไหว”!
เมื่อแผ่นดินไหว จึงไม่เพียงน้ำป่าจากเทือกเขา น้ำตามมหาสมุทร จะเคลื่อนตัวตามปกติ
หากแต่จะ “เคลื่อนแบบผิดปกติ” สร้างแรงปั่นกระแสน้ำจากคลื่น ให้เป็น “อภิมหาคลื่น” ได้
ฉะนั้น ที่กทม.บอก “รับรองปีนี้ น้ำไม่ท่วมกรุงเทพฯ” และวานซืน เห็นรัฐมนตรีเกษตรฯ ไปยืนทำตาบ้องแบ๊ว ที่ชัยนาท-อยุธยา บอก “น้ำจะไม่ท่วม” ถึงกรุงเทพฯนั้น
ปัจจุบัน-วันนี้ ไม่ท่วมแน่ แต่อนาคต พรุ่งนี้-ปะรืนนี้ และพฤศจิกา-ธันวา.
ไม่มีอะไรแน่หรอก…โยม!
เชียงใหม่ “ย้ายช้าง” หนีน้ำขึ้นภูเขา ยังหนีไม่พ้น “ช้างลม” เพราะถูกน้ำท่วมตาย เป็นปรากฎการณ์ใหม่ของเมืองไทยในรอบศตวรรษ
ภาวะการณ์บ้านเมือง “ต้อนรับน้องใหม่” ทางการเมืองหนัก ผมก็สงสาร “นายกฯ แพทองธาร”
ตั้งแต่ขึ้นเป็นผู้นำ ทั้งน้ำ-ทั้งไฟ-ทั้งดิน มากันครบ เหลืออยู่แต่ “ลม-ดินฟ้าอากาศ” นี่แหละ
มาก็มาเถอะ….
ขอแต่อย่ามาแบบ “วิปริต-บ้าคลั่ง” ก็แล้วกัน ยิ่งเห็นน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาช่วงนี้ จากที่เคยเขียวน้ำทะเล กลายเป็นน้ำตาล ขุ่นคลักด้วยดินโคลน
แสดงว่า เขื่อน ปล่อยน้ำจากเหนือทยอยไหลลงทะเลเรื่อยๆ ขออย่ามีลมมรสุมสร้างฝน “เติมน้ำ” กระหน่ำลงมาซ้ำตอนปลายเดือนนี้-ต้นเดือนหน้าก็แล้วกัน
เอาเถอะ… “รอด-ไม่รอด”
บรรดา “กระพรวนข้อเท้า” นายกฯ อุ๊งอิ๊งทั้งหลาย
ต้องช่วยกันประคับ-ประคอง “นายกฯ น้องใหม่” ให้รอดจากสถานการณ์ ที่ “ประดัง-ประเด” เข้ามารอบด้านให้ได้นะ
เพราะ “คนหวังดี” ทั้งพวก “ติเพื่อก่อ” ทั้งพวก “ล่อให้พัง” เร็ว มากันครบ ซึ่งว่าใครไม่ได้ เพราะมันเป็น “เวรกรรมตามสนอง”
คิดย้อนตอน “เพื่อไทย” เป็นฝ่ายค้าน
อัดนายกฯ ประยุทธ์ “ทุกเม็ด-เช็ดทุกดอก” แล้วทุกเรื่องที่ด่าลงตู่ไว้ เพื่อไทยพอมาเป็นรัฐบาล
เรื่องนั้น เพื่อไทยเอาไปทำตามหมด ทั้ง เป๋าตัง, คนละครึ่ง, เบี้ยคนจน-คนชรา ฯลฯ
เรื่องการลงทุน ที่ลุงตู่ไปเชิญนักลงทุนขนาดใหญ่ในต่างประเทศไว้ อย่าง เช่น กูเกิล ทึกทักเป็นผลงานเพื่อไทย ก็ไม่มีใครว่า ในเมื่อประเทศได้ประโยชน์
เรื่องโครงสร้างเศรษฐกิจสังคมสู่อนาคตใหม่ เห็นด่ากันจัง และตั้งหน้าตั้งตา
จะแก้กฎหมาย ยกเลิก “ยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี” ยุคลุงตู่
แล้วไง ตอนนี้ ต้องหันมาเกาะ EEC เป่าตูด “คาร์บอน ซีโร” ซึ่งมันก็โครงการ BCG ของลุงตู่ เริ่มไว้ให้ตามกรอบกติกาโลก
ป.ต.ท.นั่นแหละ เป็นหัวหอกที่ดี รัฐบาลต้องใช้ให้เป็นประโยชน์ CEO คนปัจจุบัน ชำนาญมาก
นายกฯ ก็อย่ามัวไป “ตอดเล็ก-ตอดน้อย” กับเรื่องไร้สาระ กะแค่เขาว่า “อ่านไอแพด” ในวงประชุมที่กาตาร์อยู่เลย
ตั้งสติ ยก “ความคิด” ให้สูงกว่า “สังคมตอด” ศึกษา-ใฝ่รู้” เรื่องงานเฉพาะหน้า เสริมสร้างภาวะผู้นำเข้าไว้
และเปิดทัศนคติให้กว้าง อย่าเอะอะก็ “ผลงาน” บารมีนายกฯ ลูกทักษิณ
และอ้อ…
ช่วยบอก “ลิ่วล้อข่าว” สำนักต่างๆ ด้วยว่า อวยแต่พองามเหอะ
เอากันถึงขั้นว่า ที่กาตาร์ บรรดาสมาชิกชาติต่างๆ “ชื่นชมนายกฯ ไทยกันล้นหลาม” แบบนั้น
คนฟังเขา “จะอ้วก”!