สันต์ สะตอแมน
ถูกต้องแล้ว..
ไม่ว่า อาชญากรรมสงคราม หรือการทำร้ายร่างกายเมีย “เราต้องไม่นิ่งเฉย” แต่ที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ไปแส่ถึงการสังหารหมู่พลเรือนในยูเครนนั้น
ก็อย่างที่คุณวิมล ไทรนิ่มนวล นักเขียนรางวัลซีไรต์ โพสต์.. “ไม่ต้องรีบ ถ้าคุณพิธาเป็นคนทั่วไป จะแสดงความคิดเห็นอะไรก็ไม่เป็นปัญหาหรอกครับ
แต่ตอนนี้คุณพิธาเป็นนักการเมืองเป็นหัวหน้าพรรคและอยู่ในสภาผู้แทนฯ คำพูดของคุณพิธาจึงมีความสำคัญ มากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับคนฟังจะให้ความสำคัญหรือไม่
โดยเฉพาะประเทศที่ถูกกล่าวถึง..โชคดี.. ที่คุณพิธาไม่ได้เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ หรือเป็นนายกรัฐมนตรีไม่เช่นนั้นประเทศไทยเดือดร้อนแน่
การเมืองไม่ใช่เรื่องของเด็กที่เอาแต่ใจตัวหรืออยากดีอยากเด่นยิ่งการเมืองระหว่างประเทศยิ่งต้องระมัดระวังทุกคำพูดอย่างยิ่งยวด สุขุมคัมภีรภาพไว้ครับ.”
ครับ..สารพัดปัญหาในประเทศของตัวเองก็ใส่ไฟ-สุมฟืนให้วุ่นวายยังย่อยยับไม่พอ นี่ใจคอจะลากให้ชาติอื่น-เมืองอื่นเข้ามายุ่ง-มาป่วนให้พังพินาศไปเลยกระนั้นหรือ?
ลองคิด-ทำในเรื่องที่จะก่อให้เกิดความสงบสุขกับคนในชาติบ้างไม่ได้เชียวเหรอพิธา หรือถ้าจะลากให้ชาติอื่นเข้ามาเพื่อให้เกิดประโยชน์โพดผลต่อประเทศชาติ-ประชาชน ก็จะว่าเลย!
แบบไหนนั่นรึ? ก็..แบบที่ “ดร.แด็กซ์” คุณธนกร วังบุญคงชนะ เผยไง ว่า “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยินดีต่อกระแสความนิยมของประเทศไทย
ที่ยังคงเป็นประเทศตัวเลือกอันดับต้นๆ ในการถ่ายทำของหมู่ผู้สร้างภาพยนตร์ต่างชาติ โดย ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ (Film) ถือเป็น 1 ใน 5 F อุตสาหกรรมวัฒนธรรมสร้างสรรค์ที่มีศักยภาพ
ที่รัฐบาลมุ่งขับเคลื่อน และผลักดัน “Soft Power” ความเป็นไทย เพื่อเพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจ สร้างรายได้และภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่ประเทศ..
สอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG ของรัฐบาล และเร่งเดินหน้าส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของไทยใน 15 สาขา อาทิ งานฝีมือ-หัตถกรรม ดนตรี ศิลปะการแสดง และภาพยนตร์
ขณะเดียวกันก็ผลักดันวัฒนธรรมที่มีศักยภาพ 5 F ได้แก่ อาหาร ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ผ้าไทยและการออกแบบแฟชั่น มวยไทย และการอนุรักษ์และขับเคลื่อน เทศกาล ประเพณีสู่ระดับโลก
นโยบายส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นแหล่งถ่ายทำภาพยนตร์ระดับโลก ถือเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างความสำเร็จ ของการบูรณาการการทำงานอย่างแข็งขันของทุกฝ่าย..
เพราะนอกจากจะก่อให้เกิดรายได้แก่เศรษฐกิจไทย ทั้งภาพรวม และระดับท้องถิ่นแล้ว ยังเป็นโอกาสเผยแพร่ความงดงามของศิลปวัฒนธรรมไทย
และธรรมชาติอันหลากหลายและอุดมสมบูรณ์ไปสู่สายตาของชาวโลกด้วย ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวของไทยให้กลับมาได้หลังสถานการณ์โรคโควิด-19 คลี่คลาย
และเป็นหนึ่งในนโยบายที่นายกรัฐมนตรี ผลักดัน Soft Power เพื่อแก้ปัญหามิติเศรษฐกิจของชาติ”
เนี่ย..เรื่องพรรค์อย่างนี้ บางทีนายพิธาอาจจะมองเป็นการเอื้อประโยชน์ต่อนายทุน เป็นการเปิดให้ต่างชาติเข้ามาทำลายธรรมชาติไปเสียอีกก็เป็นได้ ด้วยในสายตาฝ่ายค้าน..
ไม่มีสักอย่าง..ที่รัฐบาลทำดี!