เปลว สีเงิน
เหมือนคน “หนีเที่ยว” นานๆ…..
พอกลับเข้าบ้าน มีอาการหวาดๆ เขินๆ ผู้ปกครอง ซึ่งผมก็ทำนองนั้น!
ท่านก็ วานอย่าขึ้งโกรธผมเลยครับ!
คือมันฉุกเฉินจนไม่มีเวลาบอกกล่าวจริงๆ ใช่ว่าท่านทั้งหลายทั้งขาประจำและขาจรไม่มีความหมาย ที่ผมจะไปไหน-มาไหน โดยไม่ต้องบอกกล่าวให้รู้
ถึงไม่รู้จักหน้า-ไม่รู้จักตัวกัน แต่ความผูกพันทางใจมันมากบรรยาย แม้ท่านรักบางครั้ง-ชังบางครา แต่เมื่อห่างหน้าต่อกัน ท่านก็ถามไถ่ ด้วยห่วงหา ว่าผมหายหน้าไปไหน?
ส่วนผมก็ตอบไม่ได้ เพราะร่วมเดือนที่หายไป ทั้งบน-ทั้งล่าง สายระโยง-ระยาง ตรึงอยู่กับเตียง!
คือเกิดภาวะ “ระบบขับเคลื่อนยานไฮเปอร์ลูป” ของผมที่ใช้มานานกว่าครึ่งศตวรรษ ขัดข้องฉุกเฉินน่ะครับ
ประมาณว่า “ไฟตัน-น้ำมันช็อต” นั่นแหละ ทำเอาหัวใจมันจะขาดรอนๆ กำลังเขียน-กำลังคุยกับท่านอยู่แท้ๆ ต้องรีบทิ้งคาจอ ให้พรรคพวกที่สำนักงานพาส่งโรงพยาบาลให้หมอซ่อมด่วนฉุกเฉิน
แต่ผม ค่าที่ว่าระยะหลังๆ มานี้ ระบบขับเคลื่อนยานมีอาการขัดข้องบ่อย เลยตัดสินใจบอกหมอ
“คว้านลูกสูบ” ยกเครื่องใหม่ “เลยครับ”!
หมอก็ให้นอนรอวันว่าง ครั้นได้คิว ก็เข้าสู่ “จักรวาลนฤมิตร” ไปชั่วโมงกว่าด้วยยาสลบ
ลืมตาขึ้นมาอีกที คุณพยาบาลบอก “เรียบร้อยแล้ว”
เรียบร้อยของคุณพยาบาลคือ หลังผ่าตัด ได้สายระบายน้ำต่อจากท่อของผมเพิ่มมาอีก ๑ สาย พอเข็นกลับห้อง ก็ได้น้ำเกลือเสียบแขนอีก ๑ สาย
กลายเป็น “คนมีบุญ” ฉับพลัน
ได้ “นั่งกิน-นอนกิน” อยู่บนเตียง จะกินมีคนป้อน จะนอนมีคนเฝ้า ตื่นเช้ามีคนมาล้างหน้า-เช็ดตัวให้ แต่เวลาจะไปเข้าห้องน้ำนี่ซีคุณเอ๊ยยยย
บุญใดๆ ก็ช่วยไม่ได้!
“อัตตาหิ อัตตโน นาโถ” ตนนั่นแลเป็นที่พึ่งแห่งตนเท่านั้นที่ช่วยได้ คือก่อนจะกระดื๊บลงจากเตียง ว่าจะไปหิ้วถุงไหนก่อน ระหว่างถุงน้ำเกลือกับถุงระบายน้ำที่ท่อนล่าง
ต้องวางแผน ว่าระยะทางระหว่างความยาวสายน้ำเกลือกับสายท่อถุงระบายน้ำ ควรหิ้วถุงไหนก่อน จึงจะลงตัว?
คำนวณได้ที่แล้ว ค่อยเยื้องย่าง………
มือซ้ายเข็นเสาน้ำเกลือ อ้อมมาอีกด้านของเตียง ใช้มือขวาปลดถุงระบายน้ำ ระหว่างที่ค่อยๆ เข็นไป-หิ้วไป ทำให้เห็นคุณค่าคำว่า “สติและสมาธิ” ขึ้นมาทันที
สติ คือต้องรู้ตัวทั่วพร้อม ขณะเข็มคาหลังมือ เผลอไปจับโน่น-นี่ ไม่ระวัง เลือดไหลย้อนเข้าสายน้ำเกลือได้เสมอ ส่วนถุงระบายน้ำก็เหมือนกัน ถ้าเผลอยกสูงก็จะมีปัญหาการไหลระบาย
หมายความว่า…..
ขณะย่างหนอ…เข็นหนอ…หิ้วหนอ จะเพ่งเฉพาะที่ใด-ที่หนึ่งไม่ได้ จะต้องคุมสติให้อยู่กับสิ่งที่จิตกำหนดทั้งสองด้าน
คือ “คุมสติให้อยู่” ไม่พอ
ต้อง “ให้รู้” ในสิ่งที่จิตกำหนดอยู่ด้วย ถึงจะเรียกว่า “รู้ตัวทั่วพร้อม”
ฟังดูเหมือนง่าย
ถ้าอยากรู้ว่ายากหรือง่าย ให้ท่านลองนำขนนกไปวางบนปลายแหลมของคมทวนโดยไม่ให้ตกดู!
กรณีอย่างนี้ คุณพยาบาลเขาย้ำตลอด “จะเข้าห้องน้ำให้เรียก” แต่ผมก็ไม่ได้อวดเก่งหรือเกรงใจเขาหรอก
แต่มันเขินน่ะ
เรื่องซ่อมแซมระบบขับเคลื่อนยานไฮเปอร์ลูปของผู้ชายนั้น เลียบๆ เคียงๆ ถามคุณพยาบาลดู เธอบอก ๒-๓ วัน ถอดสายก็ไหลจู๊ดจ๊าด
แต่ผมคงตกที่นั่ง พระราหูเข้า พระเสาร์สวน พระพฤหัสเมิน เพราะถอดสายแล้วไม่ไหลจู๊ดเหมือนชายอื่นหมื่นแสน เลยตกที่นั่ง “พระเสาร์สวน” รอบสอง-รอบสาม
สบายไป!
ผ่าตัด “แค่หลับแล้วตื่น” แต่การ “สวนสด” ครั้งแล้ว-ครั้งเล่านี่ซี พ่อคุณ…แม่คุณเอ๊ย มัน “ตื่นจนตาตั้ง”
ไม่รู้ชาติที่แล้วไปทำเวร-ทำกรรมอะไรไว้ ถึงต้องมาชดใช้ “ตายทั้งเป็น” ก็ปานนั้น
ก็ขอบคุณทุกท่าน ที่ถามไถ่มาด้วยห่วงใยและคิดถึงกัน กระทั่งพระอาจารย์ที่ผมเคารพศรัทธา ท่านก็เมตตานำ “ธรรมโอสถ” มามอบให้ผ่านทางโทรศัพท์ลูกศิษย์
ตอนหนึ่ง ผมนมัสการถามท่าน…..
“ผมรู้ตามตำราว่าสติต้องคุมจิต แต่เวลาเวทนามันแรงกล้าขึ้นมา ความรู้ตำราช่วยไม่ได้เลย เพราะสติมันกระเจิดกระเจิงไปกับทุกขเวทนาสุดต้านไหว แบบนี้ กระผมควรจะทำอย่างไรดีครับ?”
พระอาจารย์ท่านหัวเราะหึๆ ก่อนกล่าว
“ต้องแยก” กายกับจิต “ออกจากกัน” แล้วพูดเนิบๆ ต่อว่า
“การพูดน่ะมันง่าย บางคนทั้งชีวิตก็ยังยากจะไปถึงจุดนั้นได้ แต่ก็ใช่ว่าจะไปถึงไม่ได้ ธรรมะของพระพุทธเจ้า ปฏิบัติจริง เห็นผลได้จริงทุกคน คือต้องฝึก ต้องฝน ต้องปฏิบัติ ต้องเคี่ยวกรำ”
พระอาจารย์หมายถึง ผู้จะไปถึงจุดนั้น จะต้องถึงพร้อมด้วยอิทธิบาท ๔ คือ
-ฉันทะ-มีความต้องการ มีความพอใจที่จะทำ
-วิริยะ-มีความเพียร อดทน พยายาม ไม่ย่อท้อ,
-จิตตะ-ตั้งจิตรับรู้ในสิ่งที่ทำ มีสมาธิในการทำ,
-วิมังสา-การใช้ปัญญาพิจารณาใคร่ครวญหาเหตุผล คิดค้น แก้ไข ปรับปรุง
ก็อย่างว่าแหละครับ “ตำรารู้” อย่างผม เอาเข้าจริง มันก็เอาตัวไม่รอด
ต้อง “ปัญญารู้” ด้วยฝึกฝน-ปฏิบัติ, คิดค้น-แก้ไข ให้แจ้งในสิ่งนั้นๆ เท่านั้น จึงจะรอด
บอกเล่าเก้าสิบกันเท่านี้กระมัง ความทุกข์คนอื่น ไม่มีใครอยากฟังหรอก เพราะปัญหาของแต่ละคนก็หนักบ่าอยู่แล้ว
ฉะนั้น วันนี้ เหมือนนักเรียนหนีชั้นเรียนแล้วกลับมามอบตัว เอาพอรู้เรื่อง-รู้ความเท่านี้ก็พอ มากจะพานเอียนและหมั่นไส้กันซะเปล่าๆ
กะว่าจะจบ พอดีเห็นโพสต์นี้ในเฟซ ให้มุมสะท้อนคิดว่าหมื่นแสนตำรา “ปรัชญาชีวิต” ที่มนุษย์เขียน ไม่สู้ปฏิปทา “ชีวิตนอกตำรา” ของอาม่า “อายุ ๑๐๓ ปี” ท่านหนึ่ง
ผมไม่อยากจะบอกเอง เพราะศิลปการดำรงชีวิตอาม่าท่านนี้เหมือนปริซึม หลายหลากลีลาบนฐานเหลี่ยมที่เท่ากันมหัศจรรย์ในแต่ละมุมมองของแต่ละคน อยากให้อ่านกันดู
………………………
Kan Kanika
อาม่า..คืนสู่ธรรมชาติ
วันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน 2565 เวลา 13.32 น.
สิริรวมอายุ 103 ปี
คำสั่งสอนของอาม่า ที่จดจำขึ้นใจแล้วส่งต่อถึงรุ่นหลานรุ่นเหลน คือ การศึกษาคือกุญแจไขสู่ความสำเร็จ
อาม่าไม่รู้ภาษาไทยเลย
แต่เก่งคณิตคิดเร็วที่สุด ยิ่งต้นเดือนกลางเดือน อาม่าจะนั่งบวกเลข สร้างสูตรเฉพาะตัวได้อย่างอัศจรรย์
อาม่าใส่บาตรทุกเช้า จนถึงช่วงอายุ 93 ปี ขนาดพระที่มารับบาตร กลับจากบ้านนอกหรือธุดงค์กลับมา จะมีของฝากมาให้โยมอาม่าทุกครั้ง
อาม่า เปิดร้านของชำจนส่งลูกจบปริญญาได้ แต่พออายุมากขึ้น ร้านขายของชำก็ดูเหมือนจะมีแต่ขาดทุน ลูกๆ สืบเสาะได้ความว่า
ร้านนี้กลายเป็นสถานที่แม่ค้าลอตเตอรี่จะเข้ามาเยือน เดือนละ 2 ครั้ง ไม่ใช่แค่เจ้าเดียว แต่มีอย่างน้อย 3-4 เจ้า เพราะกิตติศัพท์อาม่าที่ใจดี
ควักเงินอุดหนุนทุกคน ด้วยวิธีคิดว่า เขาอุตส่าห์มาซื้อลิโพ 10 บาท เราควรจะอุดหนุนเขากลับสักใบ 2 ใบสิ
ครั้งหนึ่ง มีคนแอบมาขโมยขนมปัง ลูกสาวเห็นเข้าโวยวาย อาม่าหันมาดุลูกสาวว่า
“อย่าเอะอะ คนขโมยเขาจะอาย ถ้าเขามีเงิน เขาคงไม่ขโมย”
ร้านขายของชำอาม่า เลยทุนหายกำไรหดตลอด แต่เราก็ถือว่าร้านนี้เป็นความสุขของอาม่าที่ได้คุยกับลูกค้าสารพัดรูปแบบ มีทั้งฝรั่ง แขก จีน ลาว ที่เข้าใจภาษาจีนปนไทยของอาม่าได้แบบเหลือเชื่อ
และอาม่าก็ได้บริหารสมองทุกวันด้วย
ระยะหลัง อาม่าเดินไม่ค่อยไหว ร้านของชำอาม่า ยกระดับเป็นแบบ self service อีกต่างหาก ลูกค้าหยิบของเอง แล้วเดินมาจ่ายเงินอาม่าแบบไม่มีเกี่ยงงอน
ร้านอาม่าปิดทำการอย่างถาวร เพราะอาม่าประสบอุบัติเหตุหกล้มตอนอายุ 93 จากการเดิน 3 ขาด้วยไม้เท้า ต้องเพิ่มเป็น 4 ขาด้วยwalker และ wheelchair
แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อชีวิตวัยตกกระ เพราะอาม่าไปเที่ยวขึ้นรถลงเรือ สปีดโบ๊ทก็บ่ยั่น จนคนเห็นยกนิ้วให้ อาม่าก็ยิ่งปลื้มกับลูกยอ
อาม่าหยุดชีวิตการเดินทาง และนอนติดเตียงเมื่ออายุ 99 แต่ก็บริหารสมองด้วยจินตคณิต เป็นที่เฮฮาปาร์ตี้ตลอด จนกระทั่ง ปีที่ 102 นี้เอง ที่สังขารถดถอยตามวัย และคืนสู่ธรรมชาติในที่สุดด้วยความสงบ
เราเชื่อว่า คุณงามความดีที่อาม่ากระทำไว้ในภพภูมินี้ จะเป็นอานิสงส์นำท่านสู่สุคติภูมิ
ด้วยความรักและเคารพอย่างหาที่สุดไม่ได้
#ลูกสาวอาม่า
……………………………
เห็นมั้ย?
ธรรมะ คือ ธรรมชาติ ถามว่า ครูอาจารย์อยู่ที่ไหน ตำราอยู่ที่ไหน?
คำตอบคือ ชีวิตตัวเราเอง คือครูอาจารย์, แนวทางการดำรงชีวิตตัวเราเอง คือตำรา
ตำราไม่เคยสร้างคน
มีแต่คน คือตัวเราเองเท่านั้น ที่สร้างตำรา
บางครั้ง ร้อยศาสตราจารย์ พันดอกเตอร์ ที่เขียนตำรา ยังสู้ชีวิตจริงของ ๑ อาม่า ผู้ให้แนวคิด “ขาดทุนคือกำไร-ให้คือได้คูณ ๒” นี้ ยังไม่ได้เลย.
-เปลว สีเงิน
๕ เม.ย.๖๕