อนุทิน “คู่กัด” นายกฯ-เปลว สีเงิน

เปลว สีเงิน

ก็ต้อง “ขอบคุณนายกฯ”
ในฐานะ “คนหัวโต๊ะ” ที่ประชุมศบค.ซึ่งมีมติออกมาเมื่อวาน (๑๓ ธค.๖๔) ดังนี้
มาตรการการจัดงานช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๖๕ กำหนดให้สามารถเปิดบริการและบริโภคสุราในคืนวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๔ – ๑ มกราคม ๒๕๖๕ ได้ไม่เกิน ๐๑.๐๐ น.
เฉพาะ “ร้านที่เปิดโล่ง” อากาศถ่ายเทสะดวก
และจะต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันควบคุมโรคที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด(COVID Free Setting) อย่างเคร่งครัด
ครับ….
ในเมื่อโควิดศิโรราบให้กับ “มือปราบ” สาธารณสุขไทย และตัวเลขผู้ติด-ผู้ตาย “ลดลง” แบบมีนัยสำคัญ
ซึ่งทั้งหมดนั้น “ไม่ใช่โชคช่วย”!

หากแต่เพราะสหสามัคคี “ฝีมือทีมไทย” ล้วนๆ ช่วยกัน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน
และแน่นอน “ทีมหลัก” คือ…..
ทีมสาธารณสุขไทย ที่ต้องยกนิ้วให้ในฐานะ “พระเอกตัวจริง” รวมทั้งคณาจารย์แพทย์

และลุงยง “คุณหมอยง ภู่วรวรรณ” จอมยุทธ์ “สูตรไขว้” ที่โควิดยอมสยบ!

การบริหารประเทศนั้น เอาปลอดโรคอย่างเดียว…..
แต่ถ้าประชาชนหิว ก็เท่ากับ ประชาชนกำลังเป็นโรค

เอาเศรษฐกิจอย่างเดียว…
แต่ถ้าประชาชนป่วยเต็มโรงพยาบาล ก็เท่ากับประเทศอยู่ในภาวะล่มจมทั้งสังคมและเศรษฐกิจ!

หรือรอจนกว่าสถานการณ์โควิดเป็นศูนย์ ค่อยคืนความเป็นปกติทุกอย่างให้สังคมประเทศ
ก็เกรงว่า ถึงตอนนั้น กรุงรัตนโกสินทร์ จะเหลือสภาพเท่า กรุงสุโขทัยกับกรุงศรีอยุธยาในปัจจุบันรวมกัน

สายพิณนั้น …..
ตึงไป ก็ขาด หย่อนไป ก็ไม่เพราะ ต้องกลางๆ ความถี่ของการสั่นสะเทือนวัตถุ ถึงจะกลมกลืนกันในแต่ระดับเสียง

บ้านยังต้องมีช่องลม ส้วม ยังต้องมีช่องอากาศ กระทั่งแผ่นอิฐ แผ่นปูน แผ่นหิน แผ่นกระดาน ก็ยังมีช่องให้ขยายตัว

การบริหาร ก็หลักการเกียวกัน
การเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวและถ่างช่องว่างสังคมให้กว้างขึ้นด้วยการให้ “กิน-ดื่ม” สังสรร-เฮฮาได้ ในเทศกาลส่งท้ายปีเก่า-ต้อนรับปีใหม่
นั่นไม่ใช่ “การ์ดตก”!

หากแต่เป็นจิตวิทยาบริหารใจสังคมและใจเศรษฐกิจตามตัวเลขข้อมูลในมือเมื่อถึงกาลอันควร แบบ “คนละครึ่ง”
ครึ่งหนึ่ง รัฐบาลให้ “เฮฮาปาร์ตี้” กิน-ดื่ม สนุกสนานปีใหม่กันได้เต็มที่

อีกครึ่ง “รัฐบาลขอ” เฮฮาปาร์ตี้ นั้น ต้องโอเพ่น แอร์ คือเปิดโล่ง-กลางแจ้ง และคัดกรองคน ด้วยมาตรการคุมโรค
คำถามเล็กๆ เกิดขึ้นว่า……

แล้วมีดนตรี ต้อง-เล่น-เต้น-รำ ที่เรียกการแสดงได้มั้ย?
ไม่ต้องส่งศาลไหนตีความหรอก ผมตีให้ก็ได้
“ตามสบาย” เลย ภายในเงื่อนไข

“สถานที่หรือร้าน” นั้น ต้อง “โล่งแจ้ง” อากาศถ่ายเทได้สะดวก เป็นหลักใหญ่!
อย่างนี้ ผับ บาร์ ก็เปิดไม่ได้น่ะซี?

เขาไม่ได้ห้าม เพียงแต่กำหนดสเปก ต้องโล่งแจ้ง ฉะนั้นเจ้าของผับ บาร์ ต้องเอื้อเฟื้อส่วนรวมบ้าง
เป็น ผับ-บาร์ ซีทรู คือ “โล่งแจ้ง” ซีครับ!

อย่า “ปิดทึบ-เปิดแอร์” ให้อากาศตลบอบอวลอยู่แต่ในนั้นเหมือนเดิม แบบนั้น ใครมีเชื้อหลงเข้าไปซักคน เชื้อก็จะหมุนวน ติดกันไปทุกคนที่แออัดกันอยู่

แล้ว “คลัสเตอร์” จากผับ-บาร์ ก็จะระบาดให้แช่งด่ากันอีกเหมือนรอบที่แล้ว!

อยากเปิด ก็ลงทุนแปลงสภาพผับ-บาร์ ให้เป็นสถานที่บริการกลางแจ้ง คือให้มันเป็นรมณียสถาน New Normal หน่อย

ร้อง-เล่น-เต้น-รำ เปิดโล่ง ให้กุมารา-กุมารี ดื่มไป ดิ้นไป เด็ดดาวกลางหาว แซมซอกหัวใจ ให้มันวิบๆ วับๆ ไปกับลมหนาวโลมเนื้อ ในคืนข้ามปี

ถ้ารัฐบาลอนุญาตให้ขนาดนี้แล้ว ยังมีผับ-บาร์-สถานบริการ “เห็นแก่ตัว” ปิดทึบแล้วเปิดมั่วละก็
ผมไม่ว่าอะไรเขาหรอก……

แต่ถ้า “ตำรวจท้องที่” นั้น ไม่จับกุม นายกฯ ในฐานะผู้ดูแลตำรวจ ต้องเด็ดหัว ตั้งแต่ผบ.ตร.ไล่ลงไปถึงผบช.น.ผู้บังคับการภาคและผู้กำกับการ ในข้อหาจงใจ “ละเว้นปฏิบัติหน้าที่”

และต้องสอบเส้นทางการเงินด้วย ว่ารับส่วยหรือไม่?
ถ้านายกฯ ไม่เด็ด (หัว)

ระวัง ประชาชนเขาจะเด็ดนายกฯ ยิ่งเหล่ๆ กันอยู่ด้วย เรื่อง “คนในวงแขน” นายกฯ ทั้งรัฐมนตรี ทั้งข้าราชการ โดยเฉพาะตำรวจ ทำปวดใจหลายเรื่อง!

พูดถึงโควิด………
ถึงตอนนี้ เท่าที่สังเกต คนไทยไม่กลัวเท่ากับไม่ประมาท มาสก์กลายเป็น “แอกเซสซอรี” ที่ทุกคนเมื่อออกจากบ้าน ต้องแต่งแฟนซี “สวมหน้ากาก”

การ “ไม่กลัวโควิด” มาจากไหน?
ลึกในหัวใจ ก็มาจาก “ความมั่นใจ” ในประสิทธิภาพการทำงานของรัฐบาลโดยตรงนั่นแหละ แต่ไม่กล้าพูดออกมากัน

ทั้งมาตรการควบคุม มาตรการป้องกัน การตรวจหาเชื้อ การจัดหาวัคซีน การระดมฉีดวัคซีน “วันเดียวล้านโดส”

การที่ไทย “ลุงยง” คิดค้นสูตร “ฉีดไขว้” ทั้งมีเข็มบูสให้เลือกสารพัดยี่ห้อ

ตอนนี้ คนไทย อย่าว่าแต่มีวัคซีนเต็ม ๒ แขนอย่างที่รัฐมนตรีอนุทินคุยเลย มีให้ฉีดจนล้นถึงคอหอยก็ยังเหลือ!

ยุโรป-สหรัฐ ยังโงหัวไม่ขึ้นจาก “โอมิครอน” ตัวใหม่ แต่สำหรับคนไทย โอมิครอน กลายเป็น โอ..ลันล้า ไปซะแล้ว!

นี่ ล่าสุด……..
ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยจอนส์ ฮอปกินส์ (John Hopkins University และ Nuclear Threat Initiative)
นำเสนอผลการวิจัยระดับความเข้มแข็งด้านความมั่นคงด้านสุขภาพ (Health Security)

ในจำนวน ๑๙๕ ประเทศ ไทย “เข้มแข็งด้านความมั่นคงด้านสุขภาพ” จากปีที่แล้ว อยู่ในอันดับที่ ๖ ของโลก

มาปีนี้ ๖๔………
ไทยขยับขึ้นเป็นอันดับ ๕ จาก ๑๙๕ ประเทศ ด้วยคะแนน ๖๘.๒ จาก ๑๐๐ คะแนน!

ประเทศไทย เป็น “ประเทศกำลังพัฒนา” ประเทศเดียวในโลก ที่ความเข้มแข็งด้านความมั่นคงทางสุขภาพ อันดับ ๑ ใน ๑๐ ของโลก!
และเป็น “อันดับที่ ๑” ในเอเชีย!!!!

เมื่อไล่ดูคะแนนแต่ละด้าน ด้านเฝ้าระวังสายพันธุ์กลายพันธุ์และตอบโต้สถานการณ์การระบาดอย่างมีประสิทธิภาพ
คะแนน ๑๐๐ ไทยได้ ๙๑.๕ เป็นอันดับ ๑

ด้านการตอบโต้ที่รวดเร็ว คะแนน ๑๐๐ ไทยได้ ๖๗.๓ เป็นอันดับที่ ๒ รองจาก “ฟินแลนด์”

ความสำเร็จเหล่านี้ สวนหนึ่งมาจากไทยไปร่วมประชุม GHSA Chair ที่กระทรวงสุขภาพ สวัสดิการ และการกีฬา
กรุงเฮก เนเธอร์แลนด์ เมื่อกุมภา.ปี ๒๕๖๒ ด้วย

GHSA Chair คือ “คณะทำงานขับเคลื่อนวาระความมั่นคงด้านสุขภาพโลก”
(Global Health Security Agenda Steering Group Meeting)

นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ รองปลัดสาธารณสุข เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยไปเข้าร่วมการประชุม ดูเหมือน นพ.ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค ร่วมอยู่ในคณะด้วย

บทบาทการรับมือโควิดและการนำเสนอของทีมไทยได้รับความชื่นชมมาก

สรุป คือ โรคระบาด สร้าง “ทีมสาธารณสุขไทย” เป็นวีรบุรุษสงครามโควิด
ประเทศไทย โด่งดัง เป็นที่กล่าวขานกันไปทั้งโลก ส่งท้ายศตวรรษที่ ๒๐ ขณะนี้

พูดถึงคนมากมายที่ทำให้ไทยมีชื่อเสียงด้านรับมือโควิด ถ้าไม่พูดถึง “รัฐมนตรีสาธารณสุข” ที่ชื่อ “นายอนุทิน ชาญวีระกูล” เสียเลย

นอกจากไม่แฟร์แล้ว ยังถือว่าอคติอีกตะหาก!

ท่านถูกปรามาส ถูกด่า ถูกเย้ยหยันด้วย “ไม่เชื่อมือ” มามาก ในตำแหน่งรัฐมนตรีสาธารณสุข ในภาวะโรคระบาดโลก
ผมขอให้กำลังใจท่านนะ……

และจะบอกว่า ทุกอันดับที่ไทยได้ ทุกความสำเร็จในการจัดหาวัคซีน ทุกสถานการณ์ที่ยากเข็ญ แต่ผ่านจุดเลวร้ายนั้นไปได้ จนประเทศไทยเป็น “ต้นแบบ” ในการรับมือโควิดขณะนี้

หน้าฉาก ใครจะเชิด จะเต้น จะรำ ก็ตามแต่
แต่คนหน้าดำคร่ำเครียด ต้องเข็น ต้องพลิกแพลงทุกสถานการณ์ให้งานบรรลุเป้าหมายถึงจุดนี้
คือ “คุณอนุทิน” ผู้เป็นรัฐมนตรี

ความสำเร็จที่เกิดจากงานในสถานการณ์โควิด มากคน/มากหน้า/มากหน่วยงาน รับ “ความชอบ” กันไป ซึ่งก็สมควร
แต่ส่วนไหนที่เป็นความผิดพลาด บกพร่อง ผิดใจ ไม่ทันใจ ไม่ทันอารมณ์ ถือเป็น “ส่วนเลว-ส่วนผิด”

“อนุทิน” รับไปคนเดียว!

แต่ที่สุด ผลการทำงานของคุณอนุทินที่ออกมา “ดอกไม้ก็บาน” ที่กระทรวงสาธารณสุข โดย WHO มอบให้

ตำแหน่งการเมือง เป็นตำแหน่งคนอาสาเข้ามาทำงาน ประสบการณ์มาจาก “ผิด-ถูก” ในงานที่ลงมือทำ

ในทัศนะผม จากผลงานสาธารณสุขนี้ คุณอนุทิน “สอบผ่าน” การเป็น “นักบริหาร” ที่มากด้วยประสบการณ์งานบริหารทางการเมืองแล้ว!

คุณไม่ใช่แพทย์ แต่เอาโควิดอยู่ ที่เอาอยู่เพราะ “การบริหาร” ด้วยรู้จักคน ให้เกียรติคน เคารพคน รู็จักงาน นั่นคือ วิสัยทัศน์คนเป็นผู้นำ

ผมเคยนึกนะ….
บุคลิกทำงานของนายกฯ หนักไปทางบุคลิกทหาร แล้วบุคลิกคุณอนุทิน เป็นบุคลิก “ลูกเสี่ย” ไม่ต่างทหาร พูดอะไร มีแต่คน ครับ..รับปฏิบัติ ซ้ำคุณอนุทิน “ปากไว” ดีอยู่อย่าง ที่ “ใจตรง”

เมื่อต้องมาทำงานประสานกันในสถานการณ์โควิด นายกฯ ทหารสั่ง อนุทินลูกเสี่ยสวนแหลก ก็มีแต่แหลกกับแหลกเท่านั้น

แต่ผิดคาด จากแหลก กลับเป็น “ราบรื่น” แม้จะราบรื่นชนิด “ต่างฝืนใจข่ม” ก็ตาม!

“ข่ม” เพื่อขับเคลื่อนงานเม็ดงานให้ถึงชาวบ้าน ให้ชาวบ้านเขาได้ ก็ข่มกันต่อไปเหอะ

อยากบอกคุณอนุทินคำเดียว “ขึ้นสูงแล้วอย่าลืมมองต่ำ”

“อสม.” บุคลากรทางการแพทย์ผู้ต่ำศักดิ์ “มีนับล้าน!

ท่านทำเหรียญสดุดี “อสม.นักรบแนวหน้าสงครามโควิด” ไปตระเวนแจกให้ถึงมือเขาคนละเหรียญซีครับ

ถึงโลกจะลืมเขา…….
แต่รัฐมนตรีสาธารณสุขชื่ออนุทิน “ไม่ลืมเขา” ก็ซึ้งแล้ว!


Written By
More from plew
สมควร “GET OUT” จริงๆ – เปลว สีเงิน
เปลว สีเงิน วันนี้ กลุ้มใจ! ไม่รู้จะปั่นเรื่องไหนขึ้นเทรนด์อันดับ ๑ ทวิตเตอร์ดี? ระหว่างเรื่อง….. “ต้อมกะไอซ์” ถึงคราวเป็น “ไก่ในเข่ง” ตบ-ถีบกันเอง...
Read More
0 replies on “อนุทิน “คู่กัด” นายกฯ-เปลว สีเงิน”